19.30 น….
กลางฤดูฝนของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซีย
ผมยืนอยู่เกาะกลางถนน กำลังก้มๆเงยๆ ท่ามกลางรถยนต์ที่วิ่งขวักไขว่ไปมาทั้งด้านหน้าและหลัง
มือก็พยายามกดชัตเตอร์เก็บภาพ ตึกที่เคยได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลกที่ตรงหน้า ใช่แล้ว….
ตึกที่ว่าก็คือ ” ตึกแฝดปิโตนัส ” ประเทศมาเลเซียใกล้ๆนี่เองครับ
ในที่สุดก็ได้มาเยือน…
…ของจริงอลังการงานสร้างเหลือเกินจริงๆ
ยิ่งในยามพระจันทร์เต็มดวงเช่นคืนนี้ สวยงามมากมายครับ
ภาพตึกเปิดไฟสว่างไสวดูน่าตื่นเต้นมากมาย ตึกแฝดคู่นี้หากคุณอยู่ใน KL (Kuala Lumpur) ไม่ว่าจะมุมไหนๆยังไงก็เห็นครับ
ผมลองทดสอบแล้ว ในระหว่างที่เที่ยวอยู่ในเมือง พอคิดได้หันมามองหาตึกนี้ อย่างน้อยก็มองมาเห็นยอดตึกหรือซักเสี้ยวของตึกอยู่ดี…
….
…
..
.
อะ..แฮ่ม..
ก่อนจะพาคุณๆเที่ยวไปด้วยกันต่อ ขอถอยเวลา กลับมาถึงรอยต่อการเดินทางครั้งนี้…
ย้อนเวลากลับไปถึงปีที่แล้ว…ที่ๆเวลา และเหตุการณ์การเดินทางของครอบครัว one22 เริ่มต้นเอาไว้นานทีเดียว
แฮ่ม…เท้าความไปมากกว่านี้ สงสัยก็จะรู้นิสัยไม่ดีของ one22 แล้วว่าชอบหมัก ดองขนาดไหนนะครับ แฮะๆ
เอาว่าถัดจากบรรทัดนี้ไป ขออาสาพาเที่ยวมาเลย์ฯโดยทีมีไกด์ตัวเล็กแสนซน จะอาสาพา ลุง ป้า น้า อา จนถึงพี่ๆทุกๆคนไปเที่ยวด้วยกันนะฮ๊าฟฟฟ ^ ^
หนนี้จะมาพาคุณๆเที่ยวกันต่อกับ KLเมืองหลวงที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติ และวัฒนธรรม ความเจริญมากมายของ มาเลเซีย
กับ ” New World with Pun Pun: กินเที่ยวชิลล์ สบายๆที่นี่ Kuala Lumpur (KL)
ที่ได้รีวิวตอนแรกของซี่รีย์ New World with Pun Pun: Malaysia กัน ท่องมะละกาเมืองมรดกโลกกันกับ(เค้า)มั่ง
วันนี้เส้นทางการเดินทางของพวกเราจะเริ่มจาก มะละกา เราจะเข้าเมืองกันแล้ว เป็นตาม แผนที่ของ อากู๋ กันเลย
เราออกจากมะละกาเพื่อมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองหลวงของมาเลเซียกัน Terima Kasih Maleka ขอบคุณ มะละกา กับทริบดีๆ3วันที่ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
ปันปันเริ่มเคลิ้มแย้ววว นั่งรถเที่ยวแบบนี้นอนในรถกันซะครึ่งทางเลยฮ๊าฟฟ
และอย่างที่คิดไม่ทันไรเลยหลับไปทั้งคู่เลยล่ะ >_<
อย่างนึงที่สังเกตุได้ถึงความสะดวกรวดเร็วของเค้าในการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันบ้านเราก็เอามาใช้ทั่วไปหมดแล้วเช่นกันคือ
บริการ Smart Tag ที่ใช้บัตรผ่านทางด่วน Toll Way แบบบ้านเรา อย่างบ้านเราก็คือ easy pass นั้นเองที่นี่ใช้กันทุกจุดและมีลักษณะบัตรแยกตามประเภทของรถโดยสาร
ด้วย(อันนี้ได้ข้อมูลจากพี่บำเพ็ญครับแกเล่าให้ฟัง )
วิ่งออกจากมะละกามา KL ใช้ทาง HIGH WAY ของเค้าสะดวกมากๆครับ ถนนหนทางของมาเลเซียทำดีกว่าบ้านเรามาก
ตลอดทริบผมแทบไม่เจอหลุมบ่อ หรือการเปิดพื้นผิวถนนแล้วปิดทับแบบไม่เรียบร้อยเลย(คุ้นๆเนอะพี่น้อง) เรื่องนี้ต้องขอชมจริงๆ
อ่อเกือบลืมเลยก่อนจะถึง KL พี่บำเพ็ญพาเราแวะเที่ยวเมืองสำคัญที่สุดเมืองนึงของเค้า “เมืองปุตราจายา”(Putrajaya) ถือเป็นเมืองใหม่ที่พึ่งกำเนิดขึ้นมา เพื่อเป็นเมืองราชการที่รวมเกือบทุกกระทรวงกรมกองเอาไว้
เมืองแห่งนี้ถือเป็นเมืองเชิดหน้าชูตาของรัฐบาล เกิดขึ้นจากแนวความคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่จะสร้างเมืองเพื่อเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหารและประมุขของประเทศ อยู่ทางตอนใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์
ปุตราจายาอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปทางใต้ ประมาณ 25 กม ห่างจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศกัวลาลัมเปอร์ หรือ KLIA ประมาณ 20 กม.
เรียกว่าหากใครมามาเลย์ฯแล้วดิ่งจากสนามบินเข้ามาเมือง แทบจะเป็นกฎของไกด์ทุกๆคนจะต้องพาแวะชมกันทั้งนั้น
เมืองแห่งนี้เกิดจากการรวมกันของ 2 รัฐ ที่นำที่ดินมาผนวกกัน และเริ่มสร้างเมืองและสาธานูปโภคขึ้นมาใหม่หมด เพื่อให้เป็นเมืองแห่งรัฐบาลโดยแท้
ข้าราชการก็มีบ้านพักรับรองให้เช่า/ซื้ออยู่กันได้เลยไม่ต้องเทียวไปเทียวมากัน หลายๆครอบครัวก็ย้ายกันมาอยู่ที่นี่กันหมด
ในภาพเปรียบไปก็เหมือนตึกรัฐบาลที่ รัฐมนตรี นายก และผู้ปกครอง ข้าราชการชั้นสูงของทุกกรมกอง ต่างมารวมกันอยู่ที่นี่และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่นี่ ก็จะสร้างแล้วเสร็จ จนรวมทุกๆกระทรวงของประเทศมาไว้ที่นี่ได้หมด
สำหรับการเดินทางมา ก็มาได้ทั้งรถบัสสาธารณะและรถไฟฟ้า เรียกว่าอำนวยความสะดวกกันทุกอย่าง
แต่ถ้าจะนับเป็ฯไฮไลท์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและ ทำให้เรามาแวะกันจริงๆอยู่ที่นี่ครับ มัสยิดปุตรา(Masjid Putra) หรือที่ใครๆเรียกกันว่ามัสยิดสีชมพู
เป็นมัสยิดสีชมพูแห่งเดียวของประเทศ และสร้างได้อลังการงานสร้างจริงๆ สีสันสวยงาม จนต้องมาแวะมาถ่ายรูปกันทุกคน
เสียดายครับ รอบนี้เรามาตอนที่เค้าปิดชั่วคราวพอดี เลยอดเข้าชมภายใน
แต่สุดท้ายผมก็ได้ชมครับแม้จะต้องรออีก หลายเดือนที่ได้กลับมาอีกครั้ง (เดี๋ยวรีวิวหน้าจะเล่าให้ฟังกันว่ากลับมาได้ไง)
มองไปรอบๆมีทะเลสาบ ที่กว้างมาก และทุกๆทะเลสาบที่เห็นของที่นี่เป็นทะเลสาบขุดทั้งหมด….
จริงๆครับอย่าง ในภาพเนี่ยใหญ่โตเหลือหลาย เห็นแล้วก็ขอคาราวะจากใจจริงๆ
บริเวณโดยรอบของที่นี่…
…บ้านเมืองใดๆรัฐบาลเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่นการพัฒนาและเดินหน้าย่อมเป็นไปโดยความรวดเร็วครับ
………………………………………………………………………………
หลับกันไปพักใหญ่ๆราวๆ 2 ชั่วโมงพี่บำเพ็ญ(ไกด์และคนขับรถของเรา) พาเรามาสลายความหิวกันที่ในเมือง กับร้านที่ขายอาหารที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำหรับและดังมากๆของที่นี่ อาหารที่ว่าก็คือ “บักกุ๊กเต๋” ที่บ้านเราก็นิยมไม่แพ้กันเลย
ภัตคาร SUN FONG BAK KUT TEH ถือเป็นร้านที่ใครมาต้องแวะมาชิมสำหรับนักท่องเที่ยวก็ดีหรือแม้แต่คนจีน คนมาเลย์ที่ทานหมูได้เรียกว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ผมก็เป็นคนนึงที่ชอบทานบักกุตเต๋มากๆ ต้องยอมรับกับต้นตำรับเค้าเลย รสชาติอร่อยและ เมนูหลากหลายกว่าบ้านเรามากนักเชียว อย่างในภาพเป็นบักกุตเต๋ทะเล อ่ะไม่ธรรมดาใช่ไหม
สั่งผัดผักมากินกันเลี่ยน และก็อร่อยมากๆเลย
นี่ก็เยี่ยมขออภัยจำชื่อเมนูไม่ได้แล้วรู้แต่อร่อยทุกอย่าง
รวมทุกอย่าง ใครอดอยากปากแห้งหาทานหมูไม่ได้แนะนำที่นี่นะครับเวลามาเที่ยวมาเลเซียจ๊ะ
ยังมีเมนูที่เราไม่คุ้นเคยอีกหลายอย่างทุกๆอย่างอร่อยมากๆ confirm ไม่เชื่อดูหน้าปันปันได้ครับ อร่อยไหมจ๊ะตัวเอง
และหากไม่เชื่อว่าอร่อยจริงๆ ลองดูภาพนี้จะพบคนดังของฟากฝั่งเอเชียทั้งหลาย มากมายที่แวะเวียนมาชิม รวมถึงท่านอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับไปแล้วของบ้านเราด้วย
อิ่่มกันดีก็ได้เวลาไปเที่ยวกันต่อแล้ว จุดถัดมาก็คืออีกหนึ่งที่ๆน่าสนใจ คือ “KUALA LUMPUR GALLERY CITY” มาถึงก็ขอแอ๊กท่ากันหน่อยแม่ลูกคู่นี้ตลอดดดด ^ ^
สังเกตดีๆ ลูกนะไม่ค่อยจะรู้ไรกับเค้าหรอกแม่นะหนุกสุด(คนเดียว)เบยยย 555
เป็นอีกที่ๆดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเสียตังกันได้ง่ายๆหากคุณมีใจรักศิลปะ และประวัติ์ศาสตร์การพัฒนาบ้านเมือง ของมาเลเซียเค้า และยังนำมาร้อยเรียงเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดูแล้วชอบมากๆ ประทับใจในความละเอียดและการจัดการให้นักท่องเที่ยว
งานของที่นี่สวยมากๆ เป็นงานแกะฝีมือจริงๆ ผมลองดูบางชิ้นแกะละเอียดมากๆ และดูแล้วก็อยากซื้อไปหมดจริงๆ ที่นี่ทางรัฐบาลมาเลเซีย ก็ให้เงินทุนสนับสนุนถือเป็นจุดแวะอีกทีที่การันตรีความผิดหวังได้
จบจาก Gallery เราก็เดินถัดมาที่จุดใกล้ๆ กัน ที่นี่คือ “จัตุรัสเมอร์เดก้า” ที่นี่จะประมาณ สนามหลวงบ้านเรา เพราะเป็นที่ๆจัดงานสำคัญของราชการและพิธีสำคัญๆต่างๆทั้งของตำรวจและทหาร
ที่นี่ยังเคยมีที่สุดในโลกอยู่อีกอย่างครับคือ “ธงชาติที่สูงที่สุดในโลก” จตุรัสนี้เป็นสถานที่แสดงความเป็นเอกราชของมาเลเซีย ที่จะไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีกต่อไป และเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1957 ธงชาติของมาเลเซียก็ได้ถูกชักขึ้นเพื่อเป็นการประกาศเอกราชของประเทศ
และถัดมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดี เป็นอีกที่ๆใครมาเที่ยวก็ต้องแวะมาถ่ายรูปกัน คือ “อาคารสุลต่านอับดุล ซาหมัด “ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งของประเทศ
มาเลเซียเค้า อาคารแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบ มูริส อินเดียผสมผสานกับศิลปะแบบอาหรับ ออกแบบโดย AC Norman สร้าง ขึ้นในปี ค.ศ.1894 เพื่อใช้เป็นศูนย์บริหารอาณานิคม ในสมัยการปกครองของอังกฤษ
โดดเด่นด้วยหอนาฬิกาและยอดโดมที่มีความสูงถึง 40 เมตรและมีหอนาฬิกาตั้งเป็นจุดศูนย์การของตัวตึก ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิ๊กเบนของมาเลเซีย”
เจตนาของอาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่ง อังกฤษและพระองค์ก็เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคารหลังนี้เมื่อปี ค.ศ. 1897 ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล อาคารหลังนี้ในยามค่ำคืนมีไฟเปิดอย่างสว่างไสว สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ถัดมาเราก็เข้า Check in ที่พักคืนนี้แล้ว เป็นอีกที่ๆแปลกใจเลยทีเดียวเพราะสวยงามใช้ได้ครับ ที่ “Impiana KLCC Hotel” ตอนมาไม่รู้ว่ามันใกล้นิดเดียวจากตึก ปิโตนัส แบบนี้ก็สบายเลยครับ เพราะเดินกันไม่กี่อึดใจสามารถไปเก็บภาพที่นั้นได้เลย
ล็อบบี้ดูดีครับ ระหว่างนั่งรอเลยได้เก็บภาพที่นี่ ที่นี่ก็เป็นอีกที่ๆพักกันได้สบายๆ หากมากันเป็นครอบครัวมี net เล่นเร็วทั้งคืนดีครับ และข้อดีอีกอย่าง SKY WAYของเมืองนี้มีจุดเชื่อมต่อลงที่ีนี่พอดี พูดถึง Sky Way ชอบมากๆอยากให้มีแบบนี้มั่งบ้านเราเพราะเราสามารถเดินแบบเย็นๆและปลอดภัยไปได้เลย ทางเดินที่นี่เค้าติดแอร์ เดินไปถึงตึกสำคัญๆของเมืองได้เลย
ห้องพักที่นี่สบายๆครับ ห้องกว้างใช้ได้ ปันปันวิ่งไปมาหนุกเชียวล่ะ
ห้องเราหันหน้าออกด้านเดียวกับโรงแรม วิวจึงเป็นด้านหน้าเลย
ห้องน้ำก็ครบครับมีทุกอย่างครบครัน แม่ปันปันชอบมาก
หลังเก็บกระเป๋าเสร็จไม่มีเวลาจะเสียให้กับอะไรแล้ว เพราะยังอยากเที่ยวต่อและตลอดบ่ายถึงเย็นย่ำค่ำนี้ เรามีนัดกับอีกหลายที่เลย ที่แรกคือ หอคอย KL Tower หรือชื่อเต็มๆเค้า ” Menara Kuala Lumpur Tower ” ถือเป็นหอคอยที่สูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก มีความสูงถึงปลายยอดที่ 421 เมตร
จุดชมวิวบนหอคอย (Observation Deck) จะอยู่ที่ความสูง 276 เมตร พอขึ้นไปถึงด้านบนจะมีกล้องส่องทางไกลอยู่รอบๆ และสามารถเสียบหูฟังเพื่อให้ฟังคำบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ในแต่ละมุมที่เราเห็น ซึ่งทางทิศตะวันออกของหอคอยจะเห็น ตึกแฝดเปโตรนาส อย่างชัดเจน และทางทิศใต้จะเห็นย่านบูกิต และ อาคารแฝดของห้างสรรพสินค้า Berjaya Times Square
ครอบครัวเราที่อยากไปมี 2 อย่างคือการเข้าชมเมือง KL จากมุมสูงสุดแบบ 360 องศาได้และวิวแบบนี้แหล่ะครับที่ทำให้เราดั้นด้นจากบ้านมาไกลหลายพันกิโลฯเพื่อสิ่งนี้
และที่เคยได้ยินคือมีภัตตาคารที่หมุนรอบตัวเอง น่าสนใจมั่กๆ(แต่เสียดายที่เราไม่ได้ลองเข้าไปเหตุผลง่ายๆคือราคาครับ ที่นี่ไม่ถูกเลยนะจ๊ะ)
วิวบนนี้งดงามสมกับที่เสียตังขึ้นมากันเลย…
ยิ่งสามารถมองเห็น ตึกแฝดปิโตรนาส ได้ชัดเจนแบบนี้ด้วย…สวยมากกกก
ดูกันแบบนี้หากสังเกตุดีๆอาจจะงงว่าทำไมตึกแฝดดูเตี้ยกว่า หรือทำไมตึกถึงดูในระดับสายตาที่เท่าๆกัน ได้ อันที่จริงก็เพราะ KL Tower อยู่บนภูเขานั้นเองครับ
ตัวหอคอย ยังไงก็เตี้ยกว่าอยู่แล้วเพราะตึกปิโตรนัสสูงจากพื้นถึงปลายยอดเสาถึง 541.9 เมตร ขณะที่ หอคอย KL Tower สูงแค่ 421 เมตร
อยู่กันจนตะวันลับไปพักใหญ่ก็ได้เวลาพาปันปันไปหม่ำข้าวกันแล้วล่ะ ก่อนไปเผื่อใคร อยากทราบราคาของ เครื่องเล่นอื่นๆและ package ต่างๆของที่นี่ ตามภาพเลยนะครับ
มื้อค่ำวันนี้พี่บำเพ็ญพาเรามาชิมและชมย่านถนน Jalan Alor ตลาดในเมืองของ KL กันต่อ
ขอบอกว่าห้ามพลาดครับสำหรับย่านนี้ เพราะมีอาหารเกือบทุกชาติที่เป็นที่นิยมของคนมาเลเซียมารวมกันทั้ง ไทย จีน มาเลย์รวมถึง อาหารไทยก็มีนะ อย่างในภาพเลย อร่อยทั้งนั้นแต่ต้องเลือกร้านกันดูนะครับ
เดินชิมกันได้นับสิบๆร้านทุกร้านแข่งกันน่าดู อย่างที่เห็นครับเดินเลือกร้านกันได้เลยเวลานั่งแล้วต้องตั้งสติดีๆด้วยเพราะจะมีคนมารุมให้สั่งอย่างอื่นรอบๆเผื่อให้เราอีก ราคาอาหารไม่แพงครับพอๆกับเวลาเราไปกินตามแหล่งอาหารย่านกินของบ้านเรานั้นเอง
อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาเข้านอนของปันปันแล้ว ผมให้พี่บำเพ็ญส่งทั้งแม่ลูกที่โรงแรม และปล่อยผมลงตรงหน้าตึกแฝด ถือเป็น Hilight ของทริบนี้ใน KL
ตัว ตึกแฝดปิโตรนัส สูงเด่นเป็นสง่างดงามสมเป็นความภูมิใจของชาวมาเลย์ฯจริงๆครับขอลองทำเป็นแบบขาวดำก็ยังเท่เหลือหลาย
ผมถ่ายอยู่พักใหญ่ระหว่างที่ถ่ายก็จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายมายืนถ่ายเป็นเพื่อนเพียบเลย
เหนื่อยและคิดว่าพอก็เดินกลับ Impiana KLCC Hotel ไม่ไกลเลยครับ เดินเพลินๆ 10 นาทีถึงแล้วคืนนั้นนอนด้วยความเหนื่อยพอสมควรแต่ก็สนุกมากๆกับวันแรกใน KL
5.30 น.
ผมตื่นเช้าเช่นเคยวันนี้ออกมาเดินเล่นรอบๆโรงแรม เลยได้เก็บภาพรอบๆโรงแรมมาแทนในภาพคือ Impiana ที่เราพักนั้นเอง
บรรยากาศวันธรรมดาในเมืองใหญ่ก็เป็นเช่นทุกๆเมืองในโลกละครับ แต่เพราะยังเช้า เมืองเลยเหมือนยังงัวเงียไม่ตื่นเต็มที่
ใจนึงอยากกลับไปเก็บภาพที่ ตึกแฝด อีกซักรอบแต่มองไปแล้วเค้าดับไฟแล้วล่ะ
เลยเปลี่ยนใจกลับเข้าห้องพักรอปันปันตื่นและเตรียมตัวตะลุยกันต่อดีกว่า
เช้านี้หลังมื้อเช้าที่โรงแรม Plan เราคือลุยในเมืองแหล่งช้อปปิ้งกันก่อน ในภาพเป็นห้องอาหารของ Impiana KLCC Hotel กว้างขวางดีครับ line อาหารเยอะใช้ได้ อาหารที่นี่จะคำนึงถึงคนของเค้าเป็นส่วนใหญ่ หาหมูไม่ได้นะครับ อย่าเผลอไปสั่งเชียวล่ะ ^ ^
ปันปันกับแม่จ๋าเลือกอาหารกันเพลิน
ว่ากันถึงรสชาติพอทานได้อาหารเยอะ แต่รสชาติไม่ถูกปากเรานัก บ้านนี้ไม่ชอบรสชาติแบบเครื่องแกงเครื่องเทศมากนัก เลยกินอะไรกันไม่ค่อยได้
อิ่มกันดีได้เวลาออกสำรวจเมืองกันแล้ว หลัง Check Out ออกแล้วเอากระเป๋าใส่รถแล้ว
จุดเริ่มต้นของเราจากโรงแรมเรามุ่งหน้าไปที่ตึกแฝดก่อนเลยเพื่อเดินลงไปชั้นใต้ดินใต้ตึกSuria KLCC (ติดกับตึกแฝด) ที่เชื่อมโยงกันเป็นใยแมงมุงทีเดียว
ทริบวันนี้เหมาะกับขาลุยนะครับ เพราะเราเน้นเดินกันมากกว่า เนื่องจากอย่างที่เคยบอกไปที่นี่เค้ามี Sky Walk ครับ
เป็นทางเดินลอยฟ้าเชื่อมกันในย่านช้อปปิ้งและธุรกิจ สามารถเดินไปมาสะดวกมากๆจากโรงแรมไป ตึกแฝดง่ายมาก
เดินผ่านใต้ตึกแฝดเข้าไปยังด้านล่าง สามารถเดินทะลุออกมาชมสวนน้ำของตึก ที่ด้านหลังได้
ทุกๆค่ำคืนจะมีโชว์ระบำน้ำพุตรงนี้ทุกคืน เสียดายเราอยู่กันแค่คืนเดียว ไม่ได้มีโอกาสมาชมระบำน้ำพุแห่งนี้
หากใครมีเวลาลองแวะมาเที่ยวชมกันดูแล้วมาเล่าให้กันฟังบ้างนะครับ
แผนก็คือ การเดินเที่ยวย่านในเมืองและได้ขึ้นรถไฟโมโนเรลกลับโรงแรม ลำพังเราไม่เท่าไหร่แต่มีเจ้าตัวน้อยไปด้วยแบบนี้
ถ้าอยากเดินง่ายและทันใจที่สุดก็ต้องอุ้มกันล่ะ หากใครมีเด็กเล็กๆไปด้วยห้ามลืม รถเข็นเป็นอันขาดเลย
ไม่งั้นก็อย่างในภาพเลยจ๊ะ ^ ^”
และนี่ครับแผนที่การเดินรถไฟของที่นี่จะสังเกตได้ว่าสะดวกและครอบคลุมใจกลางเมืองไว้ทั้งหมด
มีมาจากทั้งสนามบินสำหรับ Low Cost(เช่น Airasia) อย่าง LCCT ที่เราลงมาหรือหากมาจาก Inter อย่างสายการบินมาเลเซีย หรือการบินไทย อย่าง KLIA ก็ผ่านทั้งหมดและก็มารวมศุนย์กันที่ สถานี KL Sentral ได้ อนาคตบ้านเราก็คงไม่น้อยหน้าของมาเลเซียแน่ๆครับ
เดินทะลุไปมาจากชั้นใต้ดินตึกสามารถไปได้หลายทางมากรวมถึงต่อรถไฟฟ้าใต้ดินได้ด้วยเลยชักภาพเก็บกันซักหน่อย
เดินไปเดินมาทะลุย่านดังของเมือง ที่นี่คือ BUKIT BINTANG เหมือนๆกับสยามสแควร์บ้านเราเลยครับ มีห้างใหญ่โตเต็มไปหมด
Pavillion Kuala Lumpur ,LOT 10 แหล่งช้อปปิ้งสำคัญของ KL ก็อยู่ที่นี่
เดินไปหิวไปแวะเข้าไปใน Pavillion กัน
เป้าหมายคือชั้นใต้ดินที่นี่คือ Food Court ที่ใหญ่มากๆเปรียบไปประมาณชั้นใต้ดิน Paragon บ้านเราน่ะครับ
และนี่คืออาหารของผม เป็น ราเม็งต้มยำสูตรไทย ขอบอกว่าเผ็ดใกล้เคียงบ้านเราทีเดียว อร่อยและเยอะสมกับราคาตกเฉลี่ยประมาณเดียวกับบ้านเราคือ 100กลางๆครับ คุ้มดีนะ
อิ่มกันดีกลับขึ้นมาพี่บำเพ็ญพาเราขึ้นรถไฟฟ้าโมโนเรลกลับกันแล้วล่ะครับ
บรรยากาศรอบๆสุดท้ายและรถไฟโมโนเรล จะว่าไปก็เล็กกว่า MRT&BTS บ้านเรานะครับ เรื่องsize นี่เราชนะขาด แต่เรื่องเส้นทางกับระยะเวลา เรายังตามเค้าอยู่พอควรเชียวล่ะ
หลังจากนี้พี่บำเพ็ญพาเรามุ่งหน้าไปต่อที่เมืองที่อยู่สูงจาก KL ในระดับหลายพันเมตรทีเดียว ที่ๆเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งนึงของมาเลยฯ ใช่แล้ว Genting นั้นเอง
เอารูปมาให้ชมเพลินๆก่อนนะครับ แล้วตอนหน้าบ้านนี้จะมาพาเที่ยวมาเลเซียกันต่อ
แล้วจะรู้ว่าเที่ยวใกล้ๆแค่นี้มีอะไรให้ปันปัน เปิดโลกกับอีกเยอะเลย จะเป็นยังไงโปรดติดตามกันต่อตอนหน้าครับ ไม่ช้าข้ามปีแน่ๆจ้า ^ ^
1 Comments
Pingback: ที่เที่ยว: ไปกี่ทีไม่มีเบื่อ ตอนที่ 1...ไปลุย KL กัน | Blogท่องเที่ยว ที่รวม ที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก