สวัสดีครับ ทุกคน
พบกันอีกครั้งกับทริป ” Krabi in Love #2 ทริปนี้เป็นการเที่ยวกระบี่ในหน้า Green Season ในช่วงเวลาแห่งความสดชื่นของบรรยากาศสีเขียวชะอุ่ม หลายๆคนอาจจะบอกว่า กระบี่เที่ยวฤดูนี้ได้เหรอ ไม่กลัวเหรอ ผมตอบดังๆเลยว่า ได้!!! แถมมีข้อดีหลากหลายข้อกว่าช่วงหน้า High เสียอีก ทำไมนะเหรอ ลองมาดูด้วยกันหน่อยดีกว่าลองตามผมมาดูกันเลยครับ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก ไม่มีปัญหาเพราะทั้งสองตอนไปกันคนละที่ สามารถแยกอ่านกันได้อิสระ แต่ถ้าสนใจเที่ยวหาดไร่เลย์ ก็ตามไปที่ link นี้ได้เลยหรือกดที่ภาพก็ได้เช่นกันจ้า
ต่อกันเลยดีกว่า ออกมาทะเลหน้านี้มีลุ้นกันซักหน่อยแต่เช้ามาก็เจออากาศแจ่มใสใช้ได้ ได้เวลากลับจากหาดไร่เลย์มุ่งหน้ากลับเข้าฝั่งแล้ว ทำไมนะเหรอ ก็เพื่อมารับ คนสำคัญ 2 คนประจำทริปนี้นั้นเอง
หลังจากมารับแล้วก็พาทั้งคู่มาหม่ำกันก่อนที่ร้านดังร้านนึงของกระบี่ ร้านก๋วยเตี๋ยว โกโลบี่ (Kolobe) นั้นเอง
ร้านนี้เน้นอาหารประเภทเส้นทุกอย่าง มีทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อและไก่ หน้าตาดูดีเลยใช่ไหมครับ และจริงๆก็ไม่ได้มีดีแค่หน้าตานะ รสชาติโอทีเดียวล่ะ
อันนี้เกาเหลาเป็ดครับ รสชาติน้ำซุปเข้าเนื้อเข้าหนังดีมาก ต้มจนเปื่อยกันเลย
บรรยากาศในร้านก็ดีทีเดียวนะ อยู่ริมถนนแต่กลับให้ความร่มรื่นสบายตาดี
อิ่มกันดีแล้ว ได้เวลาเข้าที่พักเพื่อเก็บข้าวเก็บของกันก่อนออกไปเที่ยวกันต่อ ที่พักที่เราเลือกกันนี้ อยู่ในเมืองเลย และใกล้กับท่าเรือมาก อันเป็นเป้หมายในทริป2วันแรกนี้นั้นเอง ที่นี่คือ Srisawara Casa Krabi
ที่นี่มีข้อดีอยู่มากที่เลือกก็เพราะใกล้ๆกับท่าขึ้นเรือแบบเดิน 300 เมตรถึงเลย แม้ห้องเค้าจะไม่เยอะนะครับ แต่ห้องที่เราเลือกมาก็ถือว่าดีมากทีเดียว ห้องกว้างขวาง มีทุกอย่างครบตามมาตรฐาน
และเด็กน้อยก็ Test เตียงก่อนเลยว่านอนได้จริงไหม เป็นเอกลักษณ์ของปันไปแล้วที่จะรับหน้าที่นี้ อย่างเต็มใจไม่เชื่อดูหน้าตาสิ ^_^
อีกอย่างมันใกล้ตลาดและถนนคนเดือนกระบี่ เดี๋ยวคืนนี้จะพาไปเดินเล่นดูของกินของใช้กัน อดใจรอไว้แป๊บ
ที่เที่ยวแรกของรอบนี้ผมพาปันมาวิ่งเล่นในหาดที่น่าจะได้รับความนิยมที่สุดแห่งนึงของคนกระบี่ก็คือหาดนพรัตน์ธารา ตัวหาดที่ทอดยาวไปไกลหลายกิโลแบบนี้ หลังฝนที่พึ่งผ่านไปไม่นาน มันก็คือสนามเด็กเล่นชั้นดีของเด็กๆทุกคน
เม็ดทรายที่ติดในมือ จนอยากอวด
..เด็กทุกคนในวัยนี้คงเหมือนกันทั้งนั้น ยังสนุกกับทุกสิ่งรอบตัวแบบไม่กวนใดๆ และเราเองก็ยินดีที่เค้าชอบที่จะได้เรียนรู้จักธรรมชาติ และสนุกกับมันได้เต็มที่
และก็ไม่ใช่แค่ปันคนเดียว ผมเองยังมีโอกาสได้เจอเด็กๆวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นแห่งนี้ด้วย
และสนามแห่งนี้ยังสร้างอาชีพให้ได้ อย่างสาวน้อยคนนี้ผมสังเกตุว่าเค้าที่มากับครอบครัว และตั้งหน้าตั้งตาเก็บหอยเล็กๆเพื่อเอาไปขายได้เงินมาจุนเจือครอบครัว เป็นวิถีชีวิตที่เรียบและง่ายดายดีแท้
หรือแม้แต่หนูน้อยคนนี้ที่มากับคุณแม่ พามาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
เล่นกันเหนื่อยๆก็ต้องมีจิบกันบ้างแต่ก็ยังไหวนะคร้าบบ
ตกเย็นหลังจากกลับมาจากชายหาดผมพาปันและแม่ปันมาเดินเล่นตรงท่าเรือ บรรยากาศสงบของยามเย็นชวนให้สงบสุขในใจเช่นกัน มองไปตรงกลางน้ำเราก็เห็นอีกสัญลักษณ์ของกระบี่คือเขาขนาบน้ำ ที่พรุ่งนี้พวกเราจะได้ไปกันด้วย มากระบี่กี่ครั้งไม่เคยรู้ว่าที่นี่เป็นอีกสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ
เก็บบรรยากาศยามใกล้ๆค่ำแบบนี้ มาฝากกันก่อนจะพาไปดูแสงสี ในบรรยากาศแสนจะคึกคักเกินบรรยาย ของกระบี่กันต่อ
พวกเราเดินจากท่าเรือวกกลับมาไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักเลี้ยวซ้ายมาก็เจอถนนคนเดินกระบี่ บรรยากาศแสงสีของไฟที่พ่อค้าแม่ขายเปิดกันชวนให้พวกเราเองก็คึกคักตามไปด้วยเช่นกัน
ถนนคนเดินกระบี่จะว่าไปก็ต่างจากถนนคนเดินฮิตๆที่ผมเคยไปมา อารมณ์จะไปทางตลาดโต้รุ่งขนาดใหญ่ ที่มีของค้าของขายโดยเฉพาะของกินที่มีให้เลือกมากมาย
เดินมาจนถึงกลางเป็นลานกว้าง แต่ก็เต็มไปด้วยโต๊ะที่ตั้งเรียงราย มื้อค่ำขนาดใหญ่ที่ผู้คนมากหน้าหลายตา มานั่งร่วมกัน ช่วยกันสร้างบรรยากาศให้ถนนและตลาดทั้งเส้นที่คึกคัก เรียกว่าอร่อยและสนุกสนานไปพร้อมๆกันก็ว่าได้
สำหรับเด็กน้อยแล้วบรรยากาศแบบนี้ก็กับทำให้หัวใจน้อยๆดวงนี้ตื่นเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ ผลัดกันขึ้นมาขับกล่อมตรงหน้าเวที
ปลาหมึกย่าง ใครที่อยู่มาเกิน 30 ปีก็คงจำปลาหมึกย่างที่แขวนแบบนี้ได้ เสน่ห์และความอร่อยไม่ได้อยู่ที่พ่อค้า แม่ค้าจะปรุงรสปรุงชาติของปลาหมึกยังไง แต่มันอยู่ที่ความทรงจำของใครๆที่เห็นแล้วพาลนึกย้อนวัยเด็กที่การเลือกซื้อปลาหมึกแบบนี้มันช่างคลาสสิกเสียจริง และหากจำกันได้สมัยนั้น ที่ราคามันไม่ได้สูงอย่างที่เห็นนี้ แต่ก็นะ ยุคนี้อะไรๆก็แพงขึ้นทั้งนั้นครับ ว่าแล้วก็เลือกสักตัวมาลองให้หายคิดถึงกันได้เลย
น้ำส้มสักนิดดับกระหายได้ อย่าบอกใคร ยิ่งมาเจอแม่ค้ายิ้มหวานให้แบบนี้จะปฎิเสธได้
เดินตลาดเหนื่อยๆเหงื่อออกได้ที่ ผมขออแนะนำร้านขายขนมอาหารเล็กๆตรงมุมตึกฝั่งตรงข้าม ร้านนี้มีดีมากพอจนผมสังเกตุได้ว่าคนแน่นเอี๊ยด จนต้องลองเดินเข้ามาดูสักหน่อยว่ามันเพราะอะไร
และคงด้วยทั้งเหนื่อยและกระหาย จนต้องสั่งอะไรสักอย่างมาเสริพเพื่อดับความกระหายนี้ได้ แดงโซดาแก้วนี้จึงดับกระหายได้ชะงักเลย อร่อยมากก่อนที่คืนแรกสำหรับการเข้ามาพักกลางเมืองกำลังจะผ่านไป
มาภาคใต้แบบนี้ อาหารประจำภาคที่ไปมาหลายจังหวัดจะต้องมีก็คือ ร้านติ่มซำ และ “กระบี่ติ่มซำ” ก็เป็นร้านดังของจังหวัด มาดูกันหน่อยว่าจะสู้ร้านอื่นๆในภาคอื่นๆได้บ้างหรือไม่
ไล่เรียงสายตาจนมาถึงบรรทัดนี้คงได้คำตอบ ความสนุกของการกินติ่มซำให้อร่อยก็อยู่ตรงที่เราได้มาเลือกเอง เพราะงั้นทุกอย่างที่อยู่ในตู้แช่เย็นนี้คือความอร่อยที่รอพิสูจน์จริงๆ
และก็ใช่ว่าจะมีดีแค่ติ่มซำ ระหว่างรอติ่มซำนิ่งร้อนๆมาเสริฟ ร้านนี้ยังมีอาหารเช้าอย่างโจ๊กที่พร้อมเสริพ และก็อร่อยใช่ย่อยทีเดียว ไม่เชื่อก็ถามคนข้างล่างดูได้เลย ยิ้มแฉ่งอยู่พอดี
อาหารที่พาเหรดมาตรงหน้าก็สร้างความสุขและรอยยิ้มแบบนี้ให้ปันได้เช่นกัน สักพักไม่นานพาเหรดติ่มซำก็เสริพร้อนพร้อมกินแล้วไปดูกันครับว่าอร่อยทางสายตากันพอหรือไม่
ของแบบนี้ต้องมาลิ้มรองกันด้วยตัวเอง มากระบี่อย่าพลาดมาลองกันเองนะครับ ร้านนี้อยู่ติดริมถนนหาไม่ยากวิ่งเลียบท่าเรือไม่ไกล ไปทางโรงพยาบาลกระบี่ให้สังเกตุขวามือไว้เป็นระยะก็จะเจอได้ไม่ยาก อยู่ก่อนถึงโรงพยาบาลประมาณ 300 เมตรได้
ลายแทงไปทางนี้เลย
อิ่มกันดีแล้วแวะมาเดินย่อยริมคลองกันสักนิด บรรยากาศยามเช้าของกระบี่ในวิวแบบนี้ไม่ธรรมดานะจะบอกให้
กลับมาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำอาบท่ากันแล้วก็ได้เวลาออกเที่ยวกันแล้ว ผมพาปันเดินมาที่ท่าเรือตามที่นัดหมายกันไว้กับเรือที่จะมารับเราไปเที่ยว แต่ก็มาสะดุดกึกกับความน่ารักของ ‘ทางม้าลาย” ใช่ ทางม้าลายจริงๆน่ารักซะไม่มีเลย ฮ่า ฮ่า
ที่เที่ยวแรกของวันนี้คือ “เขาขนาบน้ำ” เขาหินปูนขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขนาบริมปากแม่น้ำ ดูน่าตื่นเต้นดีทีเดียว มากระบี่กี่ครั้งผมก็ยังไม่เคยเข้าไปสักที วันนี้สมใจ และคณะที่เที่ยวกันวันนี้ก็ทำให้ปันไม่เหงาเกินไปเมื่อมีสมาชิก ที่ชอบอะไรคล้ายๆกันอย่างถ่ายภาพมาด้วย
ไม่ถึง 10 นาทีเราก็ลงมายืนตรงทางขึ้นเรือเข้ามาที่เขาขนาบน้ำ ค่าเข้าชม สำหรับ ผู้ใหญ่ 30 บาท และเด็กแค่ 10 บาท ไม่แพงเลย..
เขาขนาบน้ำ จุดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่พยายามจำลองประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพเอาไว้ อย่างโครงกระดูกจำลองตรงหน้าที่ตั้งใจจะทำให้รู้ที่มาที่ไปของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็เคยอยู่อาศัยที่นี่มาแล้ว
ยิ่งเดินขึ้นมาในถ้ำยิ่งได้อรรถรส ภายในไม่มืดเกินไป ไม่ลึกมากใช้เวลาสำรวจกันไม่ถึง 10 นาทีก็ทั่วแล้ว และยิ่งทำให้เดินง่ายขึ้นไปอีกก็เพราะตรงท้ายๆของถ้ำมีแสงไฟตามธรรมชาติที่เล็ดรอดส่องแสงมา ทำให้เด็กเล็กเด็กโตต่างก็ตื่นตากันได้ระดับนึง
ด้านในจึงมีการหยิบเรื่องราวจำลองการเป็นอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงเหตุการณ์สำคัญๆในยุคประวัติศาสตร์ก็ถูกมาจำลองไว้ในถ้ำนี้
แม้แต่ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่นี่ก็เคยเป็นที่หลบภัยจากพายุให้ทหารญี่ปุ่นมาแล้วด้วยเช่นกัน
ก่อนจากขอภาพเท่ๆกับเค้าบ้างไรบ้าง บรรยากาศมันเป็นใจพาไปทั้งนั้น 55
หลังออกจากถ้ำมาเราก็มุ่งหน้าไปยังเกาะเศรษฐกิจของชาวบ้านอีกเกาะที่ใกล้ฝั่งที่สุดก็ว่าได้ “เกาะกลาง”คือเป้าหมายมื้อกลางวันของพวกเรา ระหว่างทางคนขับเรือพาเราเบนเข็มมาทางป่าโกงกาง บรรยากาสดีทีเดียวเชียวล่ะครับ
ปันเห็นพี่เค้าสะพายกล้องจึงอยากถ่ายกันเค้าบ้าง แม่เค้าเลยยอมเสียสละ (เสี่ยงเล็กๆ)ให้เอามือถือถ่ายบ้าง เป็นกิจกรรมฆ่าเวลาบนเรือให้เด็กน้อยได้อย่างดีเชียวล่ะ พ่อปันเองก็พร้อมสนับสนุนถ้าวันนึงการเป็นต้นแบบให้ลูกจะทำให้เค้ารักที่จะบันทึกธรรมชาติสวยๆไว้ด้วยเช่นกัน
ไม่นานก็ถึงครับ ร้านอาหารดังของเกาะกลาง “บ้านมะหญิง” ร้านนี้ผมเคยมาครั้งนึงแล้วเมื่อปีก่อน มาปีนี้มะกำลังขยายร้านออกมาอีกพอดี ร้านอร่อยก็ยิ่งน่าพร้อมจะเสริพลูกค้าได้มากขึ้น ตำแหน่งร้านถ้าจะมาให้มาขึ้นเรือที่ท่าเรือสวนเจ้าฟ้า สอบถามราคาไปกันได้บรรยากาศยังเป็นธรรมชาติแบบที่เห็นนี่เลยครับ
และไม่นานพาเหรดอาหารอร่อยๆจากมะหญิงก็ทยอยเสริพ มาดูกันดีกว่าอาหารทะเลอร่อยๆมีอะไรบ้าง
ข้าวผัดปูจานใหญ่มากก
กุ้งทอดราดซอสมะขามรสดีเปรี้ยวหวานเค็มกำลังดีกลมกล่อมมาก ที่สำคัญกุ้งก็ไม่เล็กเลย
หอยชักตีนลวก เมนูระลึกความหลังสมัยมากระบี่ครั้งแรกได้ลองเมนูนี่จนติดใจมาเมื่อไหร่ผมก็ต้องสั่ง มาเจอกับน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่พิมพ์นี้น้ำลายสอแล้วละครับ โว้วววหิวๆๆ
แกงหอยตลับ สดน้ำชุ่มคอสุดๆอร่อยมาก
ปิดท้ายด้วยปลาทอดที่เสริพพร้อมยำรสจี๊ด อร่อยทั้งปลาที่จับมาทำกันสดๆและน้ำยำรสแซ่บ มาทีไรก็ติดใจครับ ใครมาเที่ยวกระบี่ ลองจ้างเรือพามาชิมได้ คุ้มทุกบาทจริงๆ คอนเฟริมครับ
บรรยกาศร้านมะเรียบๆง่ายตามวิถีชีวิตคนเกาะกลาง ในกระชังปลานอกจากมีปลาที่เอาไว้เสริฟแขกแล้วมะยังเลี้ยงปลาเพื่อให้แขกเหรื่อที่มาได้ชมกันด้วย ปลาขนาดใหญ่ๆใต้กระชังนี้ไม่น้อยเลย
อิ่มหมีพลีมันกันดีแล้วได้เวลากลับเข้าฝั่งแล้วละครับ บ่ายๆนี้ผมตั้งใจจะพาปันไปเที่ยวหาดที่เคยพยายามจะไปแต่ทำไมไม่ถึงสักที มาหนนี้จึงไม่พลาดแน่ๆ
หาดที่เรามุ่งหน้าจะมากันนี้คือ “หาดทับแขก” หาดที่อยู่ไกลออกมาจากตัวจังหวัดพอสมควร แต่ก็ขับรถไม่ได้ยากถนนหนทางเรียบขับง่าย ขับมาเรื่อยๆ ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงเศษก็มาถึงแล้วละครับ
เราขับรถวนหาที่พักจนมาจบทีนี่ ทับแขกซันเซ็ต บีช รีสอร์ท เดินเข้ามาภายในรีสอร์ท Size กลางๆแห่งนี้ ยิ่งเดินเข้ามาเรื่อยๆเท่าไรก็ยิ่งประทับใจขึ้นทุกที สีเขียวทั้งรีสอร์ทเลย
บรรยากาศต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชะอุ่มให้ความสดชื่นรับกับฤดูกรีนซีซั่นแบบนี้ได้อย่างดี
บรรยากาศรอบๆยามแสงบ่ายๆเย็นจึงทำให้ผ่อนคลายมาก ผมเริ่มรักที่นี่เข้าแล้วสิครับ
การหยิบของตกแต่งมาเติมแต้มร่วมกับธรรมชาติเพิ่มความน่ารักของรีสอร์ทขึ้นอีกอักโขทีเดียว
สระว่ายน้ำที่นี่ทรงแปลกๆแต่ก็ว่ายสนุกสนานใช้ได้ มีสระเด็กแยกไว้ต่างหาก ก็อย่างในภาพเด็กน้อยดูสนุกสนานมากมาย
สระทรงนี้ว่ายยาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ดี เหมาะจะเล่นน้ำสนุกสนานกันในครอบครัวมากกว่าจะว่ายออกกำลังกายนะครับ
มาดูหน้าหาดตอนช่วงเย็นๆบ้างแดดหายไปหมดแล้วเหลือเพียงเค้าร่างเมฆที่กำลังค่อยๆก่อตัว …ฝนใกล้มาแล้ว
เปลกับทะเลเหมือนปลากับน้ำ มันช่างเข้ากั้นเข้ากันดี มีอยู่ที่ทะเลไหน ทะเลนั้นมันก็ชวนให้น่านั่งน่านอนตลอดเวลา
เถิบมาดูใกล้ๆเห็นไหม อยากนอนกันแล้วสิท่า นอนฟังเสียงคลื่นทะเล สาดซัดเข้าฝั่งแม้จะฤดูไหนก็น่าฟังทั้งนั้น
มาถึงร้านเก๋ๆเท่ๆ ที่ตอนขับรถมาตรงหาดทับแขกผ่านพอดี ตัวร้านหาไม่ยากเพราะดูโดดเด่นกว่าร้านอาหารริมทะเลแถวๆนั้นทั้งหมด เห็นแล้วคิดว่าต้องแวะดูสักหน่อย และ..ก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วย “ร้าน SABAI BA BAR” ร้านน่ารักอีกร้านมาดูข้างในกัน
มองก่อนเข้ามากับ พอเดินเข้ามาแล้วความรู้สึกต่างกันเยอะเลย ข้างในร้านนี้ตกแต่งได้มันมากกกก
โต๊ะไม้ตกแต่งสีสันสดใสสะดุดตา ยังไม่พอนะต้องมาดูของตกแต่งร้าน ทั้งมันมั้งแนวไปเบย 555
เห็นไหมชอบการใช้ผ้าและไม้มาผสมกับเฟอร์ แนวๆ ชิคๆ เก๋ๆ เท่มากกกกก บอกเลย
ยังไม่พอยังมีมุมให้หนุ่มสาวมาเที่ยวและดินเนอร์กันได้เป็นมุมส่วนตัวของตัวเองกันก็ยังได้ เก๋ๆไปเนอะ
ชายหาดหน้าร้านวิวเทพจริงๆ แม้จะเป็นหน้ากรีนแบบนี้ก็ตาม
มีมุม Kid’s Club เป็นของตัวเองอันนี้เซอร์ไพรส จริงเพราะร้านอาหารทั่วๆไปก็ไม่ทำแบบนี้นะ เอาละมาดูขบวนพาเหรด อาหารกันเลยดีกว่า
สรุปกันง่ายๆเลยแล้วกันว่า ห้ามพลาดดดดด้วยประการะทั้งปวง หากมาพักที่ ทับแขก ร้านนี้ผมการันตีทั้งบรรยากาศและรสชาติจ๊ะ เมนูไม่ต้องบอกแล้วกันนะว่าชื่ออะไรดูภาพก็เดากันได้ไม่ยากครับ
จุดเด่นอีกอย่างของทะเลกระบี่ก็คือ จุดขึ้นลงของเรือขนแร่ที่จะว่าไปก็สำหรับนักท่องเที่ยวมันดูไม่คุ้นตา แต่ตัวสะพานขนส่งแร่ ก็ดูสวย
รีสอร์ทเองก็สวยมาก แม้จะไร้แดดแต่ยังไงก็ยังสวยสงบสุขไม่แพ้หาดไหนในกระบี่เช่นกัน
เข้ามาดูในห้องกันบ้างครับ ห้องที่เราพักจะเป็น Deluxe Beach Front อยู่ชิดติดหาดเลย และมาช่วงนี้ ราคาก็จะถูกลงไปอีก 30% เห็นไหม มาช่วง Green ประหยัดลงไปได้อีกนะครับ ^_^
เก้าอี้พึงพุง ฮ่า ฮ่า ผมเรียกเก้าอี้ชายหาดหน้าห้องแบบนี้ล่ะเวลามานอน มันพึงพุงจริงๆนะสบายยยยมาก
ห้องใหมมาก เพราะพึ่ง Renovate ไปหมาดๆ กลิ่นไม้ที่ใช้เป็นวัสดุหลักยังมีกลิ่นอยู่เลย ใหม่จริงๆ
เด็กน้อยทดสอบเตียง ที่นั่ง ก่อนเลยดูจะปลื้มไม่ใช่น้อยนะครับ ปันเป็นเด็กติดทะเลมากกก
การตกแต่งตัวห้องยึดวัสดุไม้เป็นหลัก สวยงามดี
มาดูห้องน้ำบ้างแยกส่วนเปียก แห้งไว้ มีอ่างอาบน้ำขนาดผู้ใหญ่ลงไปนอนแช่ได้สบายๆ
ส่วนเปียกจะเป็นแบบ outdoor เป็นตามเทรนด์ทั่วไปของรีสอร์ทติดทะเลครับ
ติดใจสุดก็ตรงโถสุขภัณฑ์ เค้าตกแต่งดีครับใช้วัสดุไม้ช่วยเสริมให้ห้องน้ำไม่เรียบเกินไป เก๋ๆดีจริง
มาดูบรรยากาศยามใกล้ค่ำบ้างที่นี่สวยงามจริงโดยเฉพาะบริเวณหน้าหาดแบบนี้
ตัวห้องพักเข้ากันดี๊ดีจริงๆชอบมาก
ทะเลวันนี้แม้พระอาทิตย์จะขี้อายเกินกว่าจะทะลุเมฆออกมาเจอกันได้ แต่บรรยากาศทุกอย่างก็โรแมนติกแล้วละครับ คืนนั้นเราหลับสนิทกันด้วยความรวดเร็วเพราะวันรุ่งคือวันสุดท้ายที่จะต้องกลับกันแล้วล่ะ
เช้าวันนี้ทุกคนพร้อมมาก!! เอ้าเคารพธงชาติกันหน่อยเร็ว บ้าน one22 ทั้งหลาย ^_____^
ได้เวลาเคลื่อนพลแล้วละจ๊ะเด็กน้อยพร้อมมากกกก
ที่แรกที่เราออกจาก หาดทับแขกคือสถานที่สำคัญที่คนกระบี่และนักท่องเที่ยวจะมากราบไหว้กันสม่ำเสมอคือ “วัดถ้ำเสือ” แม้อากาศวันกลับไม่เป็นใจนักแต่บ้านนี้เที่ยวได้ครับไม่หวั่นไหวง่ายๆนะ
มารู้จักประวัติวัดพอสังเขบกันหน่อยนะจะได้เที่ยวสนุกกันขึ้น ผมหาข้อมูลได้จากหลายๆที่เน้นที่ Wikipedia มาดังนี้
—————————
ตัววัดถ้ำเสือที่ได้ชื่อๆนี้นั้นในอดีตย้อนไปในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อจำเนียรมีความประสงค์จะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ วันนึงระหว่างนั่งกรรมฐานปฎิบัติธรรม ก็เกิดนิมิตในมโนภาพว่าเป็นสถานที่มีภูเขา ล้อมรอบ และมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณนั้นชื่อ “ถ้ำเสือ” สถานที่แห่งนี้ ในอดีตวัดมี ชื่อว่า “สำนักสงฆ์หน้าชิง”จนเมื่อเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2533 หลังจากมาบุกเบิกเปิดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานจนเปลี่ยนชื่อใช้เป็นวัดถ้ำเสือจน ถึงปัจจุบันที่มาก็เพราะในอดีตเคยมีเสือโคร่งจำนวนมากอาศัยอยู่บริเวณของถ้ำที่ตั้งอยู่หน้าเขาแก้ว ภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติเป็นรูปแบบอุ้งเท้าเสืออีกด้วย ตัววัดจะอยู่ห่างตัวเมืองออกมาราวๆ 9 กิโลเมตร และจุดเด่นที่ใครมาและแรงเหลือๆ ควรจะเดินขึ้นไปชม พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว ซึ่งอยู่บนยอดเขา ต้องเดินขึ้นไปบันได 1,200 ขั้น แต่ถ้าขึ้นไปได้วิวบนนั้นก็คุ้มค่าทุกก้าวที่ขึ้นไปนะครับ
เข้าไปกราบพระกันครับก่อนเข้าก็ควรถอดรองเท้ากันก่อนนะครับ นี่เลยเรียง Keen ตามsize มาเลยเป็นระเบียนดีมากก 55
การมาไหว้พระก็เป็นการสอนปันอย่างนึงให้รู้จักเคารพและนอบน้อม และรู้จักบุญและบาปไปพร้อมๆกัน
บ้านเราจึงมักพาเค้าเข้าวัดทุกๆครั้งที่ได้เดินทางไปไหนก็ตาม
ภายในถ้ำค่อนข้างกว้างทีเดียวละครับ ด้านในจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นพระประธานตั้งอยู่ภายใน การมากราบพระทำบุญและทำทานช่วยให้จิตใจเราสงบและได้สติระดับนึงทีเดียว นอกเหนือจากบุญกุศลที่รับไปตั้งแต่จิตใจที่ใฝ่บุญนะครับ เราเชื่อกันแบบนั้น
เสร็จแล้วได้เวลาไปกันต่อแล้ว ที่นี่เก๋กู้ดดูดีเหนือกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ทีแรกมีอาจจะไม่มาเพราะฟังชื่อสถานที่แล้วไม่แน่ใจว่ามันจะออกแนวเย็บปักถักร้อยรึเปล่าเพราะที่นี่ชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ลูกปัด อันดามัน กระบี่” ฟังซื่อยังไม่น่าสนใจใช่ไหมครับ มาดูกับผมเลยดีกว่า
โลกของลูกปัดคุณๆเชื่อหรือไม่ว่ามันกำเนิดมานานกว่าพันปีเลยทีเดียว!! ครั้งแรกที่โลกนี้มีลูกปัดกำเนิดขึ้นไม่ชัดเจน แต่สำหรับที่กระบี่แล้ว มีการขุดค้นพบสร้อยโบราณ หินและแก้วรูปทรงต่างๆมากมายบริเวณชุมชนหลังวัดคลองท่อม เก็บมารวบรวมไว้ตั้งแต่ปี 2509 และสุดท้ายถูกนำมาจัดแสดงไว้ใน ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามัน จังหวัดกระบี่ มีอาคารจัดแสดงหลักอยู่ 2 ส่วน คือ “พิพิธภัณฑ์ลูกปัดอันดามัน” ที่อยู่ด้านหน้า และ “หอศิลป์อันดามัน” ที่ตั้งอยู่ด้านหลัง วันนี้ขอพาไปดูตรงส่วนสำคัญคือตรงด้านหน้าครับ
โลกของลูกปัดจัดแบ่งออกมาเป็น 7 โซนด้วยกัน ตั้งแต่ความเป็นมา การนำลูกปัดมาสื่อถึงวัฒนธรรมต่างถิ่นที่ให้ความหมายกับลูกปัดแต่ละแบบต่างกัน นับจากยุคอียิบต์โบราณมาจนถึงปัจจุบัน กันเลยทีเดียว
เราเดินดูกันจนทั่วก็ต้องทึ่งมาก และที่สำคัญสถานที่จัดแสดงให้ความรู้เก๋มาก มีทั้งภาพ vdo เป็นช่วงๆที่แบ่งเล่าเรื่องราวความเป็นมา ของแต่ละลูกปัดในโลกนี้มาจากแหล่งใดบ้าง โดยเฉพาะเส้นทางสายไหมอันเป็นเส้นทางการค้าสำคัญของโลกตะวันออกมาถึงเอเชีย
ลูกปัดจึงเป็นมากกว่าลูกปัด เพราะบอกเล่าเรื่องราวสำคัญในแต่ละช่วงเวลาของโลกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และการกระจายกันจากทุกมุมโลก น่าทึ่งจริงๆเนอะ
ผมเองพาปันและแม่ปันเดินกันจนทั่วก็ต้องขอชมจากใจจริงๆ เพราะเป็นที่ๆจัดทำและตั้งใจทำดีมาก จนอยากเชิญชวนให้ผู้ปกครอง และนักท่องเที่ยวทั่วไปไปชมด้วยตัวเอง ตอนเราไปเป็นวันธรรมดาคนเลยน้อยมาก อยากให้ทุกคนไปสำผัสด้วยตัวเองแล้วจะชื่นชม เหมือนครอบครัวเราครับ
กองทัพเดินด้วยท้องและท้องตอนนี้หิวแล้วได้เวลาไปหาของกินกันแล้วล่ะ มื้อสุดท้ายก่อนกลับของเราจบที่ร้าน “เรือนทิพย์” ร้านอร่อยของกระบี่อีกร้าน มาดูสิเค้ามีเมนูเด็ดๆไรบ้าง
ไล่ตั้งแต่ ผัดสะตอกุ้ง อันนี้เลิศมากไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเลยอร่อยสุดๆ
ไก่ทอดของเด็กน้อย กรอบอร่อยมากจิ้มกับแจ่วเลิศมาก
จำชื่อเมนูนี้ไม่ได้แต่อร่อยครับใส่ใบเหลียงด้วยอารมณ์แกงต้มกะทิประมาณนั้นครับ
ยำส้มโอปลากรอบ อร่อยๆใครมานั่งนี้ควรสั่งจริงๆนะ
ปิดท้ายด้วยปลาอินทรีย์ทอดน้ำปลา ไม่เค็มอย่างที่คิดอร่อยกว่าที่เคย สรุปว่าร้านนี้ควรมาชิมกันครับ แนะนำๆ
อิ่มแล้วเวลายังเหลือ มาปิดท้ายก่อนบินกลับด้วยการไปแช่น้ำ ออนเซ็นกันไหม …ใช่ครับผมไม่ได้พิมพ์ผิดมันคือออนเซ็นแบบที่เราบินไปญี่ปุ่นั้นล่ะ
ที่นี่คือ “กระบี่ ออนเซ็น” เพิ่งเปิดมาไม่นานเลย ทุกอย่างถูกจำลองการแช่น้ำร้อนแบบญี่ปุ่นมาไว้ที่กระบี่ และนอกจากจะทำเป็นออนเซ็นแล้วยังมีห้องซาวน่าเกลือด้วย เก๋มากๆ
ผมเคยไปญี่ปุ่นมาเคยเข้าห้องซาวน่าแบบนี้เหมือนกัน ได้อารมณ์เดียวกันเป๊ะๆเลยครับ ขอแนะนำและนี้คือวิธีการใช้ห้องนี้อย่างถูกต้อง
มีแยกเป็นห้องเก็บของพร้อมกุญแจ เรียกว่าจำลองมาเลย และจริงๆเค้าแยกห้องเป็นฝั่งหญิงและชายนะครับแต่พอดีเราไปด้วยกันและไปช่วงเพิ่งเปิดทาง กระบี่ออนเซ็นเลยให้เราแช่ด้วยกันเป็นครอบครัวได้ คนอื่นๆไม่ได้นะครับ
จะเว้นก็แต่เรื่องการแก้ผ้าลงแช่แบบญี่ปุ่นเค้าเรายังไม่กล้ากันขนาดนั้นทาง สถานที่ก็เตรียมชุดมาไว้ให้เราลงบ่อได้ครับ
ตัวบ่อจะแยกเป็นฝั่งร้อนและเย็นเค้ามีคำแนะนำบอกทุกอย่างว่าควรลงบ่อแบบไหนก่อนหลังและกี่นาทีเปลี่ยนที อ่านกันดูได้เลย
เด็กน้อยกล้าๆกลัวๆ ผมก็ให้เค้าลงได้แค่ขาแป๊บๆเพราะยังผิวบางแบบนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่ต้องมีผู้ปกครองดูแลเพราะน้ำก็ร้อนระดับ 40 กว่าองศาทีเดียวเด็กๆเล็กไม่เหมาะเท่าไหร่
นอกจากนั้นเค้ามีห้องพักให้ด้วยเวลาที่เราแช่เสร็จอยากมานั่งพักผ่อนก็มีมุมให้ดูชมวิวเพลินๆได้อีก
หลบฝนก็ยังได้นะครัช
ไหนๆแล้วเลยขอเก็บภาพในชุดยูคาตะกันหน่อยไปญี่ปุ่นรอบที่แล้วยังไม่ได้ใส่เลยนะใส่ผิดใส่ถูกกันเอง 555
กลับจริงๆแล้ว ตลอดระยะเวลากว่า 4 วันเราเที่ยวกระบี่ซะชุ่มช่ำใจกันเลย
อย่างที่เกริ่นไว้กระบี่ไม่ได้มีดีแค่ช่วงหน้าร้อน หน้ากรีนแบบนี้ก็เที่ยวได้สบายๆรีวิวนี้น่าจะเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีครับ และก่อนกลับก็ต้องเติมน้ำมันคืนรถเช่ากันด้วยนะครับ หนนี้เช่ารถกับ Thairentacar มาประหยัดจริงๆเติมกลับไปไม่ถึง 500 บาทเลยคุ้มมาก และยาริสเองก็มีโปรโมชั่นร่วมกับ Nokair ด้วยได้ราคาพิเศษมาก ใครอยากใช้ก็เร่งหน่อยโปรโมชั่นใกล้จะหมดแล้วละครับ
ขามาและขากลับเรามากับ นกแอร์ เช็คอินกันละครับ
ปันดูจะสนใจคู่มือความปลอดภัยเป็นพิเศษทางนกก็ทำเป็นกราฟิคการ์ตูนสวยงามเด็กดูเข้าใจได้ขอให้เราอธิบายประกอปได้ด้วยยิ่งดีใหญ่
สรุปกันหน่อย
Family Trip ในกระบี่ช่วง Green Season คงจะพอเป็นไกด์ไลน์ส่งท้ายให้ทุกคนได้ดูว่าทะเลบ้านเราเที่ยวได้เที่ยวดี เที่ยวได้ทั้งปี ขอให้เราดูและศึกษาสถานที่ก่อนจะไป ก็ยิ่งทำให้เราเที่ยวได้สนุกสนานไม่แพ้เที่ยวช่วงหน้าร้อน ที่สำคัญคือราคาทุกอย่างจะลดลงมาเยอะบางแห่งห้องพักลดกันเกิน 50% ยังมี ทำให้ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้อีกเยอะเลยทีเดียว ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกๆคนมาตรงนี้ที่ติดตามอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ครอบครัวของเราหวังว่าจะปันความสุขที่ได้มาให้เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน กันครับ และเพื่อหวังให้ไปกระตุ้นทุกๆคนได้ออกเดินทางหาประสบการณ์ชีวิตและมีความสุขกับครอบครัวแบบอย่างที่เราทำให้ดูนะครับ
ไว้เที่ยวด้วยกันใหม่จะเป็นที่ไหนเช่นเคย จนกว่าจะพบกันใหม่ครอบครัวปันทุกคนลากันตรงนี้นะครับ สวัสดีครับ
2 Comments
Inint Intrawut Simapichet
ชุดนี้จัดเต็มจริง ชมภาพกันอิ่มหนำเลย ถ้ำสวย อาหารน่าทานมากครับ
Luie Saetang
ภาพสวยงามมากครับ