สมัยเด็กๆ….
ตอนไปเที่ยวบ้านปู่ที่สุพรรณฯ ผมจำได้ว่ามีต้นมะขามต้นใหญ่ต้นโตมากๆอยู่ตรงหน้าบ้านเป็นต้นไม้แสนสนุกสำหรับผม และ เพื่อนๆมาก
หนังสะติ๊กอันแรกในชีวิต ก็ทำจากไม้มะขาม และมานั่งคิดๆดู ต้นมะขามก็เป็นต้นไม้ต้นแรกๆในชีวิตที่เคยปีนป่าย
วันเวลานั้นผมและเพื่อน จึงผูกพันอยู่ที่ต้นมะขามหน้าบ้านต้นนี่เสมอ…
ความทรงจำดีๆในวัยเด็กแม้มันจะผ่านไปนาน นานจนเหมือนมันหล่นหายไปตามวัน(วัย)เวลา
แต่..อยู่ๆมันก็หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง หลังจากได้เข้าพักที่ Tamarind Village พบปู่มะขามที่ใหญ่โตที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา
เรื่องราวหลังจากบรรทัดนีเป็นประสบการณ์ดีๆ อีกครั้งของครอบครัวเล็กๆที่มีโอกาสหนีน้องน้ำไปที่ไหนซักที่ หลังน้องเค้ามาเยือนบ้านได้ครบสัปดาห์
โชคของผมยังดีที่มีโอกาสคลายเครียด พาตัวเองหนีไปเชียงใหม่ ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่สุดในชีวิตที่เคยประสบมาก
ที่สำคัญหนนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าหนูตัวดีที่จะได้เดินทางไกลด้วย (ไม่นับตอนยังกลิ้งไปมาในท้องแม่เค้าเมื่อตอนไป Sripanwa ) ต้องขอบคุณ www.tatcontactenter.com ที่มอบรางวัลจากการประกวด “Blog สุด Chic ลุ้นรับ Hip Package” จนได้บินฟรีบวกได้ที่พักดีๆอย่าง Tamarind Village นั้นเอง
เช่นเคยดู Gallery รามภาพทริบนี้ได้ที่นี้ครับ ภาพชุดนี้ตั้งใจถ่ายเป็นพิเศษเพราะมีเวลาในการเข้าพักหลายวันชอบมากๆครับ
http://s.one22.com/u0BiCH
** อย่าแปลกใจในตัวเลข vol.22 จริงๆถ้านับจริงนับจังอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้
อะแฮ่ม อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ 1 ไม่เน้น ผมขอตั้งหลักที่เลขสำคัญส่วนตัวเองอย่าง 22 ดื้อๆเลยแล้วก้นนะครับ ^ 0 ^
2 ชั่วโมง 30 นาที คือเวลาที่เผื่อไว้นานที่สุด ตั้งแต่เคยมาสนามบิน!!
เผื่อสำหรับกรณีน้องน้ำ เธออาจจะโยเย ดึงเราเอาไว้ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ จริงไหมครับ ( ^ 0 ^ )
ผมเลือกการเดินทางไปสุวรรณภูมิโดยใช้บริการ Airport Link… จากสถานีมักกะสัน ใช้เวลามาถึงสุวรรณภูมิได้ใน 15 นาที รวดเร็วเหลือหลายจนเสียดายที่คนมาใช้น้อยไปไหม
หลัง Check-in ผ่านเว็บมาก่อนที่ www.Airasia.com อยากบอกว่านับเป็นบริการที่สะดวกมากทีเดียว เพราะแค่มาถึงเคาน์เตอร์ เราสามารถ Scan QR Code ที่ได้จากทางอีเมล์หลังทำ web check in สามารถนำมา Print ได้ที่เครื่องอัตโนมัติของ airasia และเมื่อได้ ฺBoading pass มาปุ๊บ ให้เดินตรงดิ่งไปช่องโหลดกระเป๋าได้เลย สะดวกมากๆครับ
ผ่านช่วงเวลาปล้ำกับเจ้าตัวดีได้พักใหญ่ๆ เราก็พร้อมจะพาเจ้าหนูอายุหกเดือนขึ้นเครื่องครั้งแรกแล้วล่ะครับ เราพยายามหาข้อมูลเวลาเครื่องค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป กลัวจะมีปัญหากับแก้วหูของเค้า เพราะเด็กยังไม่รู้จักการกลืนน้ำลาย อมลูกอม หรือเคี้ยวหมากฝรั่งแบบผู้ใหญ่ งานนี้พ่อจ๋าแม่จ๋ากังวลและเป็นห่วงหนูจริงๆเลย
แต่สุดท้ายเพราะคำแนะนำจากพี่สาวแสนดี เราก็ทำให้เค้าผ่านช่วงเวลา Take Off สำเร็จได้ด้วยดี (^ 0 ^)
…
เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมงดี ผมก็อุ้มเจ้าหนูน้อย น้ำหนักเกินอายุจริง(หนักมั่กกๆ) มายืนอยู่ภายในรีสอร์ท
เพราะ Tamarind Village ส่งรถไปรับครอบครัวเราถึงสนามบิน เป็นความประทับใจแรกๆกับที่นี่ครับ
พ้นทางเดินเข้ารีสอร์ทที่โอบล้อมไปด้วยไม้ไผ่จะเจอทางเข้าสู่ภายในรีสอร์ทอีกชั้นนึง แอบเก๋เล็กๆ ให้ศิลปินใช้เป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะไปพร้อมๆกัน ผมเดินชมเพลินดีครับ
หลังนั่งรอเช็คอินสักครู่ พนักงานก็ยกน้ำมะตูมหอมๆมาเป็น Welcome Drink พร้อมผ้าอุ่น ร้อนๆมาแบบนี้ยกซดรวดเดียว
พ้นรั้วรอบขอบชิดเข้ามาได้ ก็จะมาถึง Reception Counter ด้านหน้าพนักงานต้อนรับก็ยิ้มแย้มดี
มีีร้านขายของที่ระลึก อยู่ตรงสุดทางเดินด้านหน้าของรีสอร์ท
ของในร้านน่ารักๆทั้งนั้น แขกคงเสียตังในร้านพอสมควร
มีหมอนน่าหนุนไว้ให้แขกเอกเขนก ได้ และด้าข้าง ส่วนที่ติดกันกับ Reception ก็เป็นสระว่ายน้ำของรีสอร์ท
ถ้ามองเข้าไปทางซ้ายมือ เราก็จะเจอที่มาของชื่อรีสอร์ทนี้ “ปู่มะขามยักษ์อายุอานามนับเกิน 200 ปี ” มานานแล้ว
ยิ่งพอพลบค่ำเมื่อไหร่ รีสอร์ทเปิดไฟที่ประดับประดาไว้บน ปู่มะขาม ยิ่งดูสวยงามและน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
ก่อนผมจะพาเข้าห้องพักอยากพาดูรอบๆรีสอร์ทกันก่อนครับ ไปครับไป….จะพาเดินชมกัน
มากันต่อที่สระว่ายน้ำขนาดกำลังดีึีน่าว่าย ส่วนตัวผมว่า สระนี้มีหลายหลายบรรยากาศมากครับ ถ้าออกมาเดินเล่นต่างช่วงเวลากัน…
อย่างตอนเช้าๆ อากาศดี แดดออก…
สระก็สวยและสว่างตา… แจ่มใสชวนมอง…
การนั่งทานอาหารเช้าริมสระสวยๆ ในบรรยากาศต้นไม้ล้อมรอบ เป็นบรรยากาศที่น่าพิศมัยในทุกๆเช้า
โต๊ะอาหารน่านั่ง..
เหมือนจะรอแขกยามเช้า…
ตลอด 3 วัน ทุกๆเช้าผมจะเห็นพี่พนักงานคอยเอาใจใส่ในทุกๆส่วนของรีสอร์ท…ประทับใจ
เรามาดูบรรยากาศตอนโพลเพล้กันบ้าง แสงใกล้ๆค่ำแบบนี้ยิ่งสวยมาก โดยเฉพาะตรงสระน้ำ แขกถ้าไม่ออกไปเดินเล่นถนนคนเดินแล้วละก็
การอยู่ดินเนอร์ใต้แสงเทียนก็ดูจะโรแมนติกมากๆ
มุมที่ผมใช้เวลาของแต่ละวัน เก็บภาพบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นสระน้ำเนี่ยละครับ เพราะถือเป็นอีกจุด Hilight ของที่นี่ก็ว่าได้ ชอบมากๆครับ
และที่แปลกใจเข้าไปอีก…แม้จะอยู่กลางเมือง ในวันที่ไร้เมฆ ท้องฟ้าโปร่ง คุณหรือใครก็สามารถชมดาวได้
แม้จะเป็นกลางเมืองเชียงใหม่ก็ตาม น่าอิจฉาคนเชียงใหม่จริงๆ
ลองมาชมด้านในของร้านอาหารที่นี่กันบ้างกับ “Ruen Tamarind ”
ทุกเช้า ผมมักจะตื่นเร็วพิเศษ เพื่อออกมาเดินชมบรรยากาศตอนเช้าๆ เพื่อเก็บภาพภายในรีสอร์ทในบรรยากาศที่เงียบสงบดีครับ
แต่ก็จะมีอยู่มุมนึง ที่ผมจะเจอความขยันขันแข็งของพนักงานที่จะมาก่อนเสมอเพื่อ เพื่อเตรียมอาหารให้แขกได้ทานอย่างมีความสุข
6.00 น. ในร้านอาหารบรรยากาศยังเงียบสงัด ( ก็แน่นอนล่ะใครเค้าจะมาบ้าเดินถ่ายรูปจริงไหมครับ ^ 0 ^)
โต๊ะทุกๆโต๊ะจะมีจานอาหารและอุปกรณ์วางไว้พร้อมให้แขกใช้งานแล้ว เมื่อผมเริ่มเก็บภาพและจะเป็นแบบนี้ทุกเช้าเสมอ
ห้องอาหารตกแต่งเรียบๆครับเน้นปูนเปลือยตัดกับเฟอร์ฯไม้ๆผมว่าเท่กำลังดี
มุมนี้ผมจะพาเจ้าหนูเรามานั่งเทุกๆเช้าเสมอ เห็นหมอนแล้วแพ้ครับ โดนหมอนแดงดูดวิญญาณทุกเช้าเลย : p
สายๆแม่จ๋าพาเจ้าหนูตัวดีมานั่งหม่ำนมกับพ่อจ๋า ลองดูสิว่าของใครน่ากินกว่ากันเนี่ย ^_^
จานนี้ mix กันหลายอย่างด้วยความขี้เกียจเลยตักรวมไว้ด้วยกันเลยนะครับ
มาดูบรรยากาศอาหารกันบ้าง ตอนเช้าถ้าแขกเต็มจะเป็นบุฟเฟ่ต์ ทานได้ตามสะดวก line อาหารก็ครบครันน่าทานไปหมด
ที่สำคัญรสชาติดีครับ ชิมอยู่ 2 วันโอเคทุกอย่าง ในภาพก็เป็นมุมขนมปังชนิดต่างๆ พร้อมเนย&แยม ที่สำคัญ บางแยมทางรีสอร์ททำเองรสชาติใช้ได้เลย
เครื่องดื่มต่างๆ มีฝาเป็นกระทงใบตองครอบเอาไว้ ดูน่ารักจริงๆใส่ใจดีครับ
ผลไม้ต่างๆพร้อมเสริฟเราทุกเช้า
มาชมส่วนสำคัญของรีสอร์ทกันบ้าง นั้นก็คือห้องพักเป็นห้อง type Lanna Suite Deluxe ได้ห้องที่เห็นวิวดีครับ
ตำแหน่งใกล้ๆปู่มะขาม มีเฉลียงหน้าห้องพักให้แขกออกมานั่งชมวิวได้
ห้องพักขนาดไม่ใหญ่ครับ ถ้านำไปเทียบกับราคาอาจจะรู้สึกว่าห้องดูเล็กไปนิดหน่อยครับ ดูเกรดของวัสดุและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆก็ต้องบอกว่าดีทีเดียว
การตกแต่งของ Type Lanna & Lanna Deluxe คล้ายกันครับ Type หลังมีเพิ่ม เฉลียงด้านหน้าเท่านั้น และจะเป็นเตียง king size
เตียงมีหมอนขนเป็ดให้หนุนนอน จะว่ากันตรงๆ ติดใจหมอนขนเป็ดมากๆครับ นอนแล้วเหมือนมันจมลงไปในหมอนเลย ชอบมาก
ห้องน้ำตกแต่งสวย เน้นความดิบๆของปูนฉาบไม่เรียบแต่ก็เลือกวัสดุต่างๆมาดี โดยเฉพาะลายกระเบื้องเคลือบ ทำให้ห้องน้ำดูดีมีเรื่องราวขึ้นมาทันที
มุมโต๊ะทำงานทุกๆวันจะมีผลไม้มาเสริมให้ตลอดและเก็บเรียบร้อยเสมอเหมือนเข้าพักใหม่ทุกวัน
ในวันแรกของการเข้าพักมีจดหมายต้อนรับจากผู้จัดการ และมาลัยมะลิหอมวางต้อนรับไว้….น่าประทับใจในความใส่ใจทุกรายละเอียดดีมาก
แถมตอนจองมา ผมได้แจ้งไว้ว่าจะพาเจ้าตัวเล็กมาด้วย ก็เตรียมเตียงเด็กไว้ให้เสร็จเลยครับ บริการดีมากๆ
มีชุดวางไว้ให้แขกอย่างดี(แอบถ่ายแม่จ๋า กำลังป้อนนมพอดี นอนกินอุตุเลยเชียว)
มีเก้าอี้หน้าห้องพัก…ที่ชวนให้เราหย่อนก้นลงซักนิด…
หรือบางทีอาจจะเผลอหลับซักหน่อย.. ช่วงบ่ายๆหน้าห้องของเราเอาได้….
อยู่ที่นี่ บรรยากาศข้างในพาให้เรารู้สึกเหมือนเวลามันช้าลง ผ่อนคลายจากความเร่งรีบภายนอก
ได้อย่างน่าแปลกใจ
ลองมาชมส่วนของสปาของที่นี้กันบ้าง
ส่วนของสปาจะอยู่แยกตึกออกมาด้านหลังครับไม่ปะปนกับโซนที่พักด้านหน้าจะมีส่วนต้อนรับรองแขก
ด้านหน้าทางเข้าสะดุดตากับชามเก๋ๆที่นำมาวางโชว์ด้านหน้า
ผมเองไม่ค่อยมีประสบการณ์สปาบ่อยนัก แต่เท่าที่ดูจากสายตาโดยไมไ่ด้ใช้บริการ น่าจะเป็นอีกที่ๆบรรยากาศดีทีเดียวครับ
ห้องทำสปา ขนาดดูใกล้เคียงกันกับห้องพักปรกติ แต่ที่เด่น และผมว่าเค้าทำออกมาสวยคือ Counter ล้างหน้าตรงห้องน้ำเนี่ยละครับ ชอบลายกระเบื้องครับ สวย
มาถึงปลายทางของรีวิวนี้แล้วครับ…
ตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืนที่เข้าพักที่นี่ ผมได้รับการดูแลอย่างดี พนักงานก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจส่ดีทุกคน ตั้งแต่น้องดอย พนักงานที่ Counter Recepion ที่เราเจอกันตั้งแต่สนามบินตอนไปรับเรามา คุณกิ๊ก Sr.Reception ที่แนะนำที่เที่ยว และเป็นธุระเรียกรถให้ผมไปถ่ายภาพที่งานโคมยี่เป็งได้สำเร็จ และสุดท้าย คุณสุธรรมที่ Front Manager ที่ต้อนรับขับสู้เราเป็นอย่างดีที่สำคัญแนะนำที่เที่ยวที่กินใหม่ๆของเชียงใหม่ให้ผมได้มีโอกาสไปสัมผัส
และต้องชมพนักงานทั้งหมดที่ยิ้มทักทายคอยตอบคำถามตลอดเวลาที่ได้เข้าพัก นับเป็นความประทับใจอีกครั้งสำหรับผมจริงๆครับ
อ่อ…ยังมีอีกอย่างที่ผมต้องขอชมแม้อาจจะเป็นจุดเล็กๆ หรืออาจจะมองเป็นเรื่องปรกติของรีสอร์ทก็ตาม คือ ชุดแต่งกายและคำทักทายเป็นภาษาเหนือฟังไพเราะเสนาะหูดีจัง ผมชอบมากกกกกกกที่พนักงานใส่ชุดไทยพื้นเมืองชาวเหนือรับแขก ตั้งแต่พนักงานต้อนรับไปจนถึงคนเก็บกวาดสระ โดยเฉพาะน้องพนักงานหญิงดูเป็นหญิงชาวเหนือที่น่ารักมากครับ ^_^ น้องพนักงานผู้ชายก็แต่งชุดไทยๆ ดูทะมัดทะแมงดีจะตาย ผมแอบคิดเล่นๆครับอยากให้ประเทศไทยเราจะดีมากถ้าจะอนุรักษ์ให้มีการแต่งกายกันแบบนี้บ้างอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งก็ยังดี แบบที่ชนชาติอื่นๆเค้าก็มี เช่น ญี่ปุ่น ที่วัฒนธรรมการแต่งกายของเค้าในเทศกาลต่างๆคือสื่งที่ทุกๆคนภูมิใจ และอยากสวมใส่มาอวดกัน
มันคงจะได้บรรยากาศที่เราๆเอง และฝรั่งเองคงชอบมากๆ
จุดเด่นๆอื่นที่นึกออกก็คงต้องขอรวมการตกแต่งภายในและ ภายนอก รวมถึงความใส่ใจในรายละเอียดการบริการอย่าง ตรงห้องอาหารที่ทุกเช้าผมจะพบน้องๆ เค้าทำงานแข็งขันกันเพื่อการบริการให้กับแขกเต็มที่ รวมๆที่นี้มีดีแบบที่พักดีๆระดับ หลายๆดาวเค้ามีกัน
แต่ก็มีที่อยากขอฝากถือเป็น Comment เล็กน้อยจากแขกคนนึงครับ คือขนาดของห้องพักใน Type ที่ใกล้ๆกันอย่าง Lanna กับ Lanna Deluxe ที่ต่างกันที่เฉลียงหน้าห้องเท่านั้นเองแต่ราคาต่างกันหลักพันทีเดียว ตรงนี้ถ้ามีการปรับนโยบายเรื่องราคามาบ้าง จะช่วยให้แขกเกิดความคุ้มค่าขึ้นมากครับ เพราะขนาดห้องพักก็ค่อนข้างจะเล็กไปสักนิดถ้าเอาราคามาเทียบกันกับโรงแรมหรือรีสอร์ทในระดับเดียวกัน …
อย่างอื่นไม่ใช่ปัญหา เพราะมีดีทุกอย่างอยู่แล้วครับ
ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นจากแขกคนนึงที่อยากให้ Tamarind ต้นนี้ยังคงอยู่ยั้งยืนยงให้ร่มเงากับเชียงใหม่ไปนานๆ เห็นมะขามต้นนี้แล้วมีกำลังใจครับ ถ้าเปรียบเป็นคนปู่มะขามคงจะเป็นคนแก่ที่ใจดีและคอยใส่ใจแขกหรื่อทุกๆคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเสมอ อยากให้ปู่มะขามอยู่คู่กับรีสอร์ท และเชียงใหม่ไปนานๆนะครับ
การเดินทาง
ถ้าเข้าจากทางประตูท่าแพเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนราชดำเนินตรงไปอีก 500 เมตรหรือไม่เข้าใจดูจากแผนที่ได้ครับ (จากหน้าเว็บ www.tamarindvillage.com) รีสอร์ทอยู่ริมถนนหาไม่ยาก หรือจะติดต่อได้ที่เบอร์ 053-418896-9
*** ตอนหน้าจะยังคงเป็นรีวิว Winter Series รับลมหนาวเช่นเคย อยากจะขอเป็นไกด์พาเที่ยวบรรยากาศการลอยโคมยี่เป็ง ที่ผ่านมาไม่นานนี่เองครับ เร็วๆนี้เจอกันนะจ๊ะ
3 Comments
Piyapong Onetwentytwo
ไปเชียงใหม่อีกเมื่อไหร่ที่นี้ก็ยังน่าเข้าพักเสมอและที่สำคัญที่ใก้ลๆถนนคนเดินแบบชิดขนาดนี้หาไม่ง่ายแน่ๆ