อะแฮ่ม ช่วงนี้ขยันเป็นพิเศษ มาเจอกันเดือนนึงมากกว่า1ครั้งสำเร็จแล้ว จากนี้ก็จะรักษาเวลาในการพาคุณๆไปเที่ยวกันทุกเดือนแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับโปรดติดตามกันได้
………………………………………………………………………………………………….
หนที่แล้ว ผมพาทุกคนไปเที่ยวมาเลเซียกับปันปันมาแล้ว ในซี่รีย์ The New world with Pun Pun เพิ่งจบตอนที่ 2 ที่เมือง KL (Kuala Lumpur)ไปหมาดๆ
ที่แรกว่าจะพาไปเที่ยวตอน 3 กันต่อเลย แต่..ทบทวนความคิดไปมา
ยังมีเรื่องเล่าที่ยังอยากเล่าต่อของเมืองนี้อีก เลยได้ไอเดียในการสร้างซี่รีย์เรื่องเล่าใหม่มาฝากเพื่อนๆกันครับ
ซี่รี่ย์ “ไปกี่ทีไม่มีเบื่อ” เป็นการนำเมือง หรือสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจที่ทำให้เรา หรือใครสามารถเดินทางไปซ้ำได้ไม่มีเบื่อ ถือเป็นซีรี่ยแยก ออกมาอีกหนึ่งซี่รี่ย และเป็นรีวิวคู่ขนานกับ The New world with Pun Pun ในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง “มาเลเซีย” ที่มีสีสันและที่เที่ยวมากมายไม่แพ้บ้านเราทีเดียว
ตอนแรกของ ซี่รีย์ ไปกี่ทีไม่มีเบื่อขอพาทุกๆคนกลับไปยังเมืองแห่งสีสันที่ชื่อ Kuala Lumpur
เป็นทริบพิเศษที่ไปกับทาง มาเลเซียแอร์ไลน์ เมื่อปีก่อน (ดองนานไปไหม)ต้องยอมรับว่าเป็นทริบที่เช้าที่สุดในชีวิตการเดินทางเครื่องบินกันเลย
เที่ยวบินของ Malaysia Airline เที่ยวนี้เป็นเที่ยวบินแรกของวันกันเลย
ข้อดีคือเที่ยว 6.00 น.นั้นคือคุณสามารถจะเดินทางแต่เช้าเพื่อไปเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพราะจะไปถึงมาเลเซียประมาณ9.10 ชีวิตการเดินทางต่อจากเวลานั้นสบายแล้วแน่นอน ส่วนข้อเสียคือร่างกายในวันเดินทางมันไม่ยอมจะเช้าด้วยซักเท่าไหร่นะสิ คิดแล้วแอบง่วงมากมายทีเดียว แต่เพื่อการเที่ยวแล้วเที่ยวนี้เหมาะสุดๆครับ
ทริบเราเองก็เริ่มต้นตั้งแต่มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ตี 4.30 เราเผื่อเวลาไว้สำหรับการตรวจสอบเอกสาร และ การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วย
ในภาพเป็นบรรยากาศยามเช้าของ Gate เรา เงียบมากมาย
หลังขึ้นเครื่องของ มาเลเซียแอร์ไลน์ ประทับใจนี่เลยครับ LCD TV ส่วนตัวของใครของมัน ที่เริ่มเล่ากันตั้งแต่การเตรียมพร้อมต่างๆในการใช้อุปกรณ์และถุงลมนิรภัยซึ่งปรกติเราจะเห็นจากการที่แอร์ฯ จะเป็นผู้สาธิตให้เราได้ชม แต่ความนี้มาแบบ Digital กันเลยรวมทั้งหนังหรือบริการต่างๆก็สามารถสั่งผ่านหน้าจอนี้ได้เช่นกัน ด้านล่างจอเป็น Remote ครับใช้ Control TV
อากาศดีทีเดียวครับวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเหมาะแก่การเดินทางไกลเชียวละ
หลังลงเครื่องที่สนามบิน KLIA ( Kuala Lumpur International Airport) สนามบินแห่งชาติของมาเลย์เค้าครับ มาถึงคิวค่อนข้างยาวใช้ได้เลย แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเท่าทริบก่อนที่ไปลงสนามบิน Low cost carrier terminal (LCCT ) Lowcost ของ แอร์เอเชียเค้า อันนั้นคนมหาศาลกว่าเยอะรอกันเกิน 40 นาทีกันเบย อันนี้แป๊บเดียวก็ผ่านได้แล้ว ขั้นตอนผ่านด่านคนเข้าเมืองของบ้านเค้าไม่ยุ่งยาก คล้ายๆกันกับบ้านเราทุกอย่าง แค่กรอกๆเอกสารแล้วก็ยื่น Passport ก็จบครับ บ้านใกล้เรือนเคียงแถมยัง ใกล้จะเป็น AEC เข้าไปทุกทีการเดินทางในอนาคตจะยิ่งง่ายขึ้นไปอีกแน่นอน
สำหรับการเดินทางต่อจากสนามบินนี้เข้าเมือง เอาตารางรถไฟมาให้ดูแล้วกันนะ การจะไปจุดต่างๆในบริเวณใกล้ไกลสนามบิน จะไปต่อที่สนามบิน LCCT จะไป KL Centralก็ได้ ให้เลือกใช้บริการรถไฟฟ้าเข้าเมือง สะดวกสุดครับ แน่นอนในเรื่องเวลาไม่มีพลาด เราสามารถเลือกบริการรถไฟความเร็วสูง (KLIA Ekspres )หรือธรรมดา(KLIA transit)ก็ได้ขึ้นอยู่กระเป๋าสตางค์คุณๆ สามารถดูราคาการเดินทางกันได้ที่นี่จ๊ะ http://www.kliaekspres.comอ่อสำหรับถ้าใครไปลงที่ LCCT จะไปรถไฟฟ้าต้องนั่งรถบัสไปต่อนะครับอย่างใน MAPเลย ราคาไม่ต้องจ่ายแต่อย่างใด รวมอยู่ในค่ารถไฟฟ้าหมดแล้ว
พึ่งนึกออกจริงๆมีอีกวิธีคือ การใช้บริการ SKY BUS แต่เคยอ่านมาว่าหากไปช่วงเวลาเร่งด่วนอาจจะLate ได้ไม่เหมาะสำหรับขากลับมาที่สนามบินหากคุณไม่เผื่อเวลาไว้มากกว่า 1 ชั่วโมงนะครับ แต่ขาเข้าเมืองก็ยังไหวหากอยากประหยัดจ๊ะ
หลังเข้าเมืองจุดแรกที่เราต้องแวะเที่ยวก่อนเลย และเป็นอีกครั้งได้กลับมาที่นี่ หนนี้สมใจตรงที่ว่าคราวก่อนไม่ได้เข้าไปด้านในของ มัสยิดสีชมพู (มัสยิดปุตราจายา)หนนี้สามารถแล้วครับไปดูกันดีกว่า
วันนี้อากาศแจ่มสุดๆ ร้อนมากมายจริงๆ มุมสะพานสวยๆ ที่เมืองนี้มีหลากหลายสะพานมากมายครับ
มองจากมุมไหนก็เด่นมากๆครับ มัสยิดปุตราจายา สีชมพูหวานมาก ยิ่งอากาศดีๆแบบนี้ด้วย สวยงดงามทีเดียว ตัวมัสยิดครึ่งนึงสร้างยื่นลงไปในน้ำ มองบางมุมจะรู้สึกเหมือนมัสยิดลอยอยู่บนน้ำเลยทีเดียว
แล้วเราก็ได้มายืนตรงหน้าแล้วครับ อย่างที่บอกไปหนก่อนไม่ได้เข้าชมด้านไหน หนนี้จึงมีเวลาเก็บภาพได้พักใหญ่เลยครับก่อนเข้าไปมารู้จักที่นี่สักนิด ค้นๆข้อมูลจาก WIKI มาฝากครับ
เป็นมัสยิดที่สำคัญในปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย มัสยิดเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1997 จนแล้วเสร็จอีก 2 ปีถัดมา ตั้งอยู่ข้างกับเพอร์ดานาปุตรา ซึ่งเป็นทำเนียบรัฐบาลของมาเลเซีย
มีทะเลสาบปุตราจายา ทะเลสาบที่สร้างโดยมนุษย์ ล้อมด้านหน้าของมัสยิด
ภายในงดงามมากๆ สีชมพูดูแปลกตา ขณะเดียวกันลวดลายและสถาปัตยกรรมภายในตกแต่งประดับประดาดูวิจิตรงดงาม เห็นแล้วก็ต้องทึ่งทีเดียว
สีชมพูภายในสวยงามมากครับแหงนมองด้านในเป็นโดมทรงกลม ด้วยลวดลายและสีสันทำให้มีมิติที่สวยงามและอลังการมากๆ
อยากให้ทุกคนเข้าไปด้านในกันครับรูปที่ถ่ายมาดูไม่อลังการเท่าของจริงเลย
ออกมาจากมัสยิดเราไปชมเมืองปุตรากันดีกว่า มุมนี้สามารถเห็นเมืองทั้งเมืองได้เลย เผื่อใครยังไม่ทราบ ผมไปค้นข้อมูลมาฝากกันจาก WIKI เช่นเดิมตามนี้นะครับ
ดร.มหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สร้างเมืองปุตราจายา เกิดขึ้นจากแนวความคิดที่จะสร้างเมืองเพื่อเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหาร และประมุขของประเทศ อยู่ทางตอนใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์
ปุตราจายาเป็นความตั้งใจของผู้นำมาเลเซีย (ดร.มหาเธร์ ในสมัยนั้น)ที่ต้องการจะเนรมิตรเมืองใหม่ขึ้นมา เมื่อปี 2538 โดยกำหนดแผนการพัฒนา 3 ระยะ คือ ระยะ 1A แล้วเสร็จในปี 2542 ระยะ 1B แล้วเสร็จในปี 2544 และระยะ 2 แล้วเสร็จในปี 2553 เพื่อเป็นศูนย์การบริหารและปกครอง แยกออกจากกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวง เพื่อต้องการควบคุมปัญหาการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและต้องการแก้ไขปัญหาการจราจรใน เมืองหลวงด้วย นอกจากนี้ จะเป็นความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของคนมาเลเซีย
ออกจากเมืองปุตราจายาเราเข้าเมือง KL (กัวลาลัมเปอร์) กันแล้วครับ แวะไปย่านช้อปปิ้งที่ฮิตสุดๆของเค้าคือ ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)
เปรียบๆไปก็เหมือนสยามสแควร์บ้านเราแบบนั้นเลย
มีแหล่งช้อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้า มีรถไฟฟ้าโมโนเรลวิ่งผ่าน รถราก็แน่นๆคล้ายๆกันทุกอย่าง
อย่างวันนี้เรามาฝากท้องกันที่ ห้างดังอย่าง PAVILLION เทียบๆไปผมว่าคล้ายๆ พารากอนบ้านเราครับ
ชั้นใต้ดินนี้อาณาจักรแห่งอาหารเลย บอกแล้วคล้ายๆกัน ทุกอย่าง มี Food Republic ด้วย
ส่วนคณะเรามาฝากท้องที่ร้าน Madam Kwans ร้านอาหารมาเลย์ จีน แบบfusion คือปรับปรุงรสชาติให้ทันสมัยไม่ใช้มาเลย์แบบดั้งเดิมหรือจีนแท้ๆ ตอนไปทางเจอตัวเป็นๆ แต่งเหมือนในโลโก้ร้านแบบเป๊ะๆเลยครับ ตัวจริงอัธยาศัยดีครับ ยิ้มแย้มกันเองดี เราเห็นคุณป้าแกเป๊ะเลยจับถ่ายรูปด้วยกันซะเลยกับกลุ่มของเรา
มาดูอาหารกันอย่างนี่ ผมสั่งมา โอเคเลย จานใหญ่ยักษ์กินกันไม่หมดทีเดียว รสชาติเมนูนี้ไม่ได้เผ็ดอะไรมากครับ ถือว่าผ่านเหมือนกัน ให้มาเยอะสะใจสมราคานะผมว่า
เพื่อนร่วมทริบก็สั่งนี่ครับ
และก็นี่เกี๊ยวน้ำ รสชาติทุกอย่างอร่อย ข้าวอาจจะแพ้บ้านเราบ้างแต่รสชาติโอเค
หลังอิ่มกันดี เราแวะไปที่ศูนย์ฝึกบินของสายการบิน Malaysia Airline เพื่อไปฝึกบินด้วยเช่นกัน อันนี้ผมตื่นเต้นที่สุดแล้วของทริบวันนี้
จะมีคนธรรมดากี่คนกันที่ไม่ใช่นักบินที่มีโอกาสได้เข้ามายังศูนย์แห่งนี้
ตามมาครับ เราจะได้ลองเข้าไปในห้องบังคับการบินจำลอง ที่ทางสายการบินเตรียมไว้ให้คือห้องบังคับการ BOING 737
เป็นโอกาสสักครั้งที่จะได้กุมบังเหียนนักบินครับ
ทั้งผมและเพื่อนร่วมทริบทุกคนตื่นเต้นทีเดียว เพราะเวลาที่เราบังคับในห้องนี้เหมือนกับเราบินจริงๆบนท้องฟ้าเลย
ทยานขึ้นแล้วตื่นเต้นจริงๆ เพราะทุกคนได้รับประสบการณ์ร่วมกันหมดตัวเครื่องจำลองมาทุกอย่างเหมือนจริงมากกกก
เรียงคิวกันถ้วนหน้า ผมเป็นคนสุดท้าย ที่เลือกเป็นคนสุดท้ายเพราะตื่นเต้นฝุดๆ เห็นเค้าบินกันดี๊ดี เวลาเราบังคับห้องทั้งห้องจะหมุนตามไปพร้อมๆกัน
คิวผมบังคับบ้างน้องๆบอกว่ายังกับนั่งอยู่บนเครื่องบินเจ็ต เพราะหมุนสุดๆ จะอ้วกกันไป 555
นับเป็นประสบการ์ณที่ดีมากๆครั้งนึงในชีวิต ที่มีโอกาสได้สัมผัสและบังคับเครื่องที่เค้าใช้ฝึกนักบินกันเลย ก่อนที่จะไปปฎิบัติการจริงๆทุกคนต้องผ่านห้องแบบนี้กันมาทั้งนั้น
ส่วนอันนี้ผมไม่ได้เข้าไปครับเป็นห้องฝึกบินสำหรับ airbud A380 ลำใหญ่นั้นล่ะ น่าเสียดายเหมือนกัน อยากรู้ว่าจะเดิ้นมากขนาดไหน
จบจากสำนักงานฝึกนักบินของทางมาเลเซียแอร์ไลน์ เราเข้ามาเช็คอินกันก่อนครับ
รวมๆห้องพักไม่เก่าไม่ใหม่มาก พอใช้ได้ดีมีเน็ตให้ใช้แต่เสียตังนะครับ อื่นๆ อาหารมื้อเช้าไม่อร่อยเท่าไหร่ พอทานได้ครับ
เก็บของเข้าที่พักเสร็จ เจอกับบล็อคเกอร์อีกท่านที่พึ่งจะมาถึงช่วงบ่าย “ดีบุก” เลยชวนกันไปถ่ายภาพตึกแฝดเที่ยวก่อนถ่ายภาพกลับมายังไม่สะใจหนนี้มีซ้ำกันครับ
ตึกยังสวยและดูอลังการงานสร้างเหมือนเช่นเคย งดงามมากครับ ที่นี่ถือเป็นสถปัตยกรรมมนุษย์สร้างอีกแห่ง ที่สวยและน่าภูมิใจแทนบ้านเมืองเค้านะครับ
เดินหมนกันไปมาซักพัก เราตั้งใจไปต่อกันในตลาด และย่านของกินที่ใหญ่อย่างถนนจาลัน อาลอร์ ของ KLขึ้นแท๊กซี่กันไป บอกเค้าผิดๆถูกเลยมาลงซะห่างเลมาถึง Cemtral Market แทน
ด้านข้างจะเป็น Walking Street เลยชวนกันแวะเลย เห็นสัญลักษณ์ด้านบนมองดูมีเสน่ห์ดีครับเลยไม่ลังเลจะเข้าไปเดินกัน
Walking Street ที่ขายของเยอะทีเดียวครับ ดูอารมณ์แล้วทำให้ผมนึกถึงห้างที่ดูคล้ายๆกันอย่าง ดิโอลด์สยามบ้านเรา แต่มีของกินของฝากเยอะหน่อย สนุกดีครับ
ผลไม้ทั้งแบบสดและดอง มีให้เลือกเยอะเลย
ด้านหลังเค้าเป็นรวมร้านอาหารน่านั่งหลายๆร้าน
ในส่วนห้างด้านบนจะแยกเป็นเสื้อผ้าแต่ละชาติกันไป ของขายเน้นนักท่องเที่ยวจริงๆ คนเดินก็เป็นต่างชาติซะเยอะด้วย
เดินกันช่ำใจ ออกมาต่อเราเปลี่ยนมาไปย่าน China Town กันแทน เดินไปถนนเส้นนี้เพลินมาก จากด้านที่เราเข้าไปจนถึงตรงกลางๆ ตลอดสายเต็มไปด้วยของกิน ของใช้มากมาย
มาถึงร้านที่ดีบุกแนะนำแล้วครับ อาหารเป็นประเภทต้มๆ ในน้ำเดือดปุดๆเชียว เรียกว่า “lok lok ” เวลากินจะต้องมีหม้อสไตล์แบบหม้อสุกี้ที่ต้มน้ำเดือดๆ จากนั้นก็เอาอาหารเสียบไม้ทั้งหลายไปแช่หรือจะเรียกว่าจุ่มกันก็ได้ นะครับ สนนราคาก็เริ่มตั้งแต่ไม้ละ 10-50 บาทแล้วแต่ประเภทของเนื้อสัตว์นั้น ๆ เค้าเสริฟพร้อมน้ำจิ้มสไตล์คล้ายสะเต๊ะบ้านเรา แต่อร่อยมากๆเลย
นี้ละครับมีทุกอย่างเลย เราจะได้จานมาจากนั้นก็หยิบเลือกได้เอง สนุกและอร่อยมากๆ ใครมามาเลเซียห้ามพลาดกันเลย
มีเนื้อทุกแบบ เสียบไม้ไว้รอเราเลือกได้เลย
จุ่มกันในน้ำเดือดๆแบบนี้ละครับ
อันนี้เป็นสะเต๊ะนะครับอร่อยมากๆ เลย และที่นี่ก็เป็นที่ปิดท้ายของพวกเราในค่ำคืนแรกใน KL กันพรุ่งนี้จะพาตะลุยที่เที่ยวหนุกๆในเมืองกันต่อครับ
ยามเช้าตรู่มาถึงผมเดินออกมาแต่เช้า แวะเก็บภาพตึกแฝด ปิโตนัสอีกรอบ มองจากมุมไหนๆใน KL เราก็เห็นที่นี่เสมอ
ข้อดีของโรงแรมที่เราพักคือใกล้ๆกับถนนแห่งของกินมาก ถนน “จาลัน อาลอร์ (Jalan Alor )” ในระดับเดินถึงกันเลยครับ
(พึ่งมารู้ตอนเช้าว่าโรงแรมอยู่ใกล้เกิ๊นน เพราะถามจากพนักงานโรงแรม เค้าชี้ไปหน้าโรงแรมเลย
น่าเขกหัวตัวเองจริงๆครับ 555 )
ถนนจาลัน อลอร์ตั้งอยู่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ แถวนี้นอกจากความหลากหลายของอาหารในยามค่ำแล้ว
ยังเป็นย่านที่พักราคาถูกของ กัวลาลัมเปอร์ ตั้วอยู่ไกล้ๆกับสถานีขนส่งพูดูรายา (pudulaya)
เดินๆไปเลี้ยวขวาจะเจอร้านขายนั่งฟังเพลง พับบาร์ น่าจะเหมาะสำหรับใครที่อยากได้แสงสียามค่ำคืน ก็แวะมาเที่ยวย่านนี้ได้
ถนนเส้นนี้พอเป็นตอนเช้าดูเหงาลงไปถนัดตา ผมเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ อย่างที่เคยเขียนถึงไปจาก ซี่รี่ย์ The New World with Pun Pun
ถนนเส้นนี้มีอาหารนานาชาติของแท้ครับ มีตั้งแต่ไทย เวียตนาม จีน ฝรั่ง มาเลฯ ครบเลย
ร้านเปิดประมาณครึ่งนึงนะครับแต่คนน้อยมาก
เนี่ยละครับร้านไทยดูเขียนอ่านอาจจะแปลกๆหน่อยแต่ได้เห็นภาษาไทยในต่างแดนแบบนี้ก็เก๋ไปอีกแบบครับ
หลังมื้อเช้าพวกเรา Check out กันเลยเพื่อเตรียมตัวที่เย็นวันนี้เราจะบินกันต่อแล้ว ก่อนไปเลยเข้าไปในเมืองแถวๆบูกิตบินตังอีกรอบ แวะเดินเล่นกันอีกนิดดูความเจริญของเค้ากันหน่อย
และที่ผมอยากลองอีกซักครั้งก็คือขึ้นรถไฟ โมโนเรล (Monorail) อีกซักที ไปใกล้ๆ2 สถานีก็ถึงแล้วครับจากที่เราอยู่กัน
แวะเดินห้างเค้าก็ไม่ต่างกันมากนะครับ คล้ายกับห้างบ้านเราอยู่ในบริเวณเดียวกันกับ บูกิตบินตังห่างมา 1 สถานีรถไฟฟ้า
จริงๆช่วงนี้เดินเล่นรอเวลาไปยังเป้าหมายใหญ่ของวันนี้ใน KL ครับ….
และที่นั้นก็คือ Aquaria KLCC Kuala Lumpur สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของ KL ครับ ที่นี่ถือว่าดังมาก เพราะมีพันธ์ปลาหายากในโลกมารวมไว้มากมายที่สุดในโลกที่นึงเลยที่เดียว
Aquaria KLCC อยู่ที่ชั้นใต้ดินของ Kuala Lumpur Convention Centre Complex อยู่ใกล้ๆ Suria KLCC Shopping Centre ที่เป็นห้างสรรพสินค้า ที่อยู่ใต้ ตึก ปิโตนัสนั้นเอง
สามารถเดินลงมาที่ชั้นใต้ดินของตึกได้เปิดตั้งแต่ 10.30am – 8.00pm ทุกวัน ราคาค่าเข้าชม ดูจากในภาพได้เลยครับ
เข้ามาปุ๊บก็ต้องประทับใจกับปลาที่ผมเคยดูแต่ในหนังเท่านั้นอย่าง ปิรันย่า (Piranha Tank)
เค้ามีภาพจำลองสถานการณ์ที่ปิรันย่าเข้าไปรุมสกัมอาาหารแบบสดๆกันได้ ปลาอะไรฟันแหลมสุดๆเลยครับ
ถัดมาเป็นปลาดุกไฟฟ้า เค้าจัดมุมไว้ได้เร้าใจตื่นเต้นดีมากๆ ปลาไหลไฟฟ้ามีชื่อเรียกทางการว่า (Electric Catfish) มารู้จักมันก่อนจะดีกว่าครับ (ขอบคุณข้อมูลจาก WIKIPEDIA ครับ)
ปลาดุกไฟฟ้า พบเฉพาะในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ และตะวันออกบริเวณแม่น้ำไนล์ มีทั้งหมด 2 สกุล ตัวปลามีลำตัวมีรูปร่างกลมป้อม หัวหนา ตามีขนาดเล็ก มีครีบ 7 ครีบ แต่ไม่มีครีบหลัง มีเพียงครีบไขมัน ขนาดใหญ่ อยู่ด้านหลังใกล้โคนหาง ครีบอก 1 คู่ ไม่มีเงี่ยง ครีบท้อง 1 คู่มีขนาดเล็ก ครีบก้นอยู่ตรงข้ามกับครีบไขมัน หางมีขนาดใหญ่เป็นรูปพัด มีหนวด 3 คู่ รอบริมฝีปากมีหนังหนา มีอวัยวะสร้างไฟฟ้า 1 คู่โดยฝังอยู่ใต้ ผิวหนังที่หนาบริเวณลำตัวข้างละอันการปล่อยกระแสไฟฟ้าอยู่ภายใต้การควบคุม ของระบบประสาท โดยปกติจะปล่อยกระแสไฟฟ้าเวลาหาอาหารหรือป้องกันตัวเท่านั้น ปลาที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าขนาด 1 แอมแปร์ และแรงคลื่นกว่า 100 โวลท์ได้ ซึ่งกระแสไฟฟ้าขนาดนี้ในน้ำสามารถ ทำอันตรายต่อศัตรู หรือแม้กระทั่งมนุษย์ได้
…………………น่ากลัวสมกับตัวกราฟิกที่ทำล้อมตู้เลยครับ
ปลาดุกดูตัวยาวและน่าเกรงขามมาก ถึงไงเห็นตัวก็ไม่น่าเข้าใกล้อยู่แล้วละครับ
ตัวนี้น่าสนใจมากครับ(ผมจำชื่อแม่นๆไม่ได้ แต่จำได้ว่าขนาดมันใหญ่มากๆเป็นปลาน้ำจืด ดูขนาดเลยครับเทียบกับคนชี้ดูได้เลย)
แท็งค์น้ำขนาดใหญ่อันนี้ชอบมากครับเวลาปลาว่ายไปมาดูสวยงามมากครับ
ทางเดินลอดโดมใต้น้ำผมชอบมากๆเลย เห็นปลาหลากหลายว่ายไปมาตื่นตาตื่นใจสุดๆเลย
เจอกระเบนยักษ์ว่ายไปมาตื่นเต้นสุดๆ
และที่อยากเห็นแบบเต็มๆตามานานแล้วก็มาหากันจนเจอฉลามครับ
ว่ายไปมาปราดเปรียวสุดๆเลย
มุมแบบนี้ละครับที่เห็นในหนังกันบ่อยๆ ฟันเยอะเชียวเธอ
ได้เห็นฉลามว่ายไปมาบนหัวตัวเองนี้เกินจะคาดเดาจริงๆเลยครับ
มาดูกันต่อครับ ปลาสวยงามเค้าก็มีครับ ถึงแม้ว่าผมเองจะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวสวนน้ำตามที่ต่างๆมากนัก แต่ผมว่าที่นี่ปลาเยอะจริงๆครับ และทางเดินลอดใต้น้ำที่นี้ก็ยาวและน่าอัศจรรย์มากๆ
เด็กๆมาต้องชอบแน่ๆครับ หลายๆครอบครัวจูงเด็กๆมาเที่ยวที่นี่ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ยอมรับเลย Aquarium ที่นี่ทำดีมากๆ
เห็นลายหอยพันธ์นี้แล้วนึกถึงหนังพวกจูราสิคพาร์คเลย
แมงกระพรุนสีสดมากๆ
ปลาดาวในมุมที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนักดูแปลกสุดๆ
เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ พวกเราก็ออกมาตรงส่วนสุดท้าย หากใครประทับใจกับสวนน้ำแห่งนี้สามารถอุดหนุนเค้าได้นะครับ มีตุ๊กตาน่ารักราคาก็ว่าไปตาม size ตามรายละเอียดของงาน
ก่อนจะจากเลยชักภาพกันซักหน่อยเก๊กหล่อกันสุดๆกินกันไม่ลงเลยเนอะ เอิ๊กกก (ไม่อยากกินละมากกว่า 555 )
นับเป็นทริบที่ได้ทั้งความบันเทิงและสาระมากครับ
หลังออกมาจาก Aquaria พากันมาแวะซื้อของฝากกันเล็กน้อย ใครมา KL ไม่แวะซื้อช็อคโกแล็ตอาจจะเรียกว่ามาไม่ถึง(จุดเสียตังค์) กันเลย อิอิ ที่เห็นนี้เครื่องทำช็อคโกแล็ตครับ ถ่ายภาพคู่กับลูกทีมเรา
ที่นี่ทุเรียนเป็นผลไม้ที่นิยมมากๆเพราะผมไปจุดไหนก็เจอทุเรียนอยู่ทุกที ไม่แปลกเลยจะมาเจอในร้านนี้
ที่นี่มี Chocolate Shop หลากหลายยี่ห้อมาก เที่ยวก่อนผมมาก็แวะซื้อแต่เป็นอีก Shop นึงที่นี่เค้านิยมผลิตกันมากกว่าบ้านเราอีก เพราะดูจากที่จอดรถ รถทัวร์จอดกันแน่นเลย เรียกว่านักท่องเที่ยวคงถูกทุกทัวร์พามากันแน่นอน
และผมเองก็เสียตังที่นี่ละครับของฝากทั้งนั้นเลย ^ ^”
จากจุดนี้พวกเราต้องแยกย้ายกันไปต่างRoute แล้วครับ ชักภาพกันก่อนจากชั่วคราวอีก2-3 วันจะมาเจอกันอีกครั้ง จากซ้ายไป ขวา เป็นลุงเด้งจาก Hongkong Fan Club ,ผม,และดีบุก Blogger ชื่อดังแห่งพันทิบ
และแล้วก็ได้เวลาผมต้องบินอีกรอบเพื่อไปยังเป้าหมายสำคัญที่ผมเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ไป นั้นคือ โคตาคินาบาลู แห่งเกาะบอร์เนียว จะเป็นไงโปรดติดตามตอนหน้าจะพาไปเที่ยวยอดเขาที่สูงที่สุดใน South East Asia กันแบบเบาๆครับ
เป็นอีกที่ๆผมอยากมาที่สุดแห่งนึงของเอเชียบ้านเรา
ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณสายการบินแห่งชาติมาเลเซีย “มาเลเซีย แอร์ไลน์” ที่จัดทริบดีๆนี้และเชิญเรามาเที่ยวเปิดหูเปิดตาขนาดนี้ ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซียมีอะไรให้น่าค้นหา น่าเที่ยวเยอะเลยครับ
เร็วๆนี้มาติดตามกันต่อนะครับไม่ช้าแล้วววว เชื่อผมเต๊อะ ตอนนี้ขอลาก่อนครับ สวัสดี…